Author: Ánh Nguyễn

Parts of Speech ในภาษาอังกฤษมีบทบาทและหน้าที่เฉพาะ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนโครงสร้างของประโยคและแสดงความหมายที่สมบูรณ์ของประโยค ตัวอย่างเช่น คุณอาจไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า “She is mother.” (“เธอคือแม่”) เนื่องจากประโยคไม่มีคำสันธานหรือคำนำหน้านาม ทำให้คุณสงสัยว่า “เธอ” คือแม่ของใคร

ในบทความนี้ ELSA Speak จะรวบรวมองค์ความรู้ที่สมบูรณ์ที่สุดเกี่ยวกับ Part of Speech เพื่อช่วยให้คุณสร้างประโยคได้ถูกต้องมากขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อสื่อสารภาษาอังกฤษ มาติดตามเพื่อเรียนรู้ความรู้ที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมกันนะ!

part of speech คือ
Part of Speech 9 ประเภทในภาษาอังกฤษ

ในภาษาอังกฤษมี Part of Speech 9 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีหน้าที่ บทบาท และตำแหน่งเฉพาะในประโยค:

>>> Read more:

คำนามในภาษาอังกฤษ (Noun)

คำนาม คือ คำที่กล่าวถึงบุคคล สิ่งของ เหตุการณ์ แนวคิด ปรากฏการณ์ หรือสถานที่ต่างๆ

ตัวอย่าง:

part of speech คือ 1
คำนามในภาษาอังกฤษ

ตำแหน่งของคำนามในประโยค:

ตำแหน่งตัวอย่างความหมาย
ขึ้นต้นประโยคและหลังคำวิเศษณ์บอกเวลา (ถ้ามี)Mr. Tan went on a picnic with his family last week.
= Last week, Mr. Tan went on a picnic with his family.
คุณตันไปปิกนิกกับครอบครัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
= อาทิตย์ที่แล้ว คุณตันไปปิกนิกกับครอบครัว
หลังคำคุณศัพท์ปกติThat is a naughty boy.นั่นเป็นเด็กผู้ชายที่ซุกซน
หลังคำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ– He is my father. 
– She put her pencil in the case. 
– เขาคือพ่อของฉัน
– เธอใส่ดินสอลงในกล่อง
หลังคำกริยาเมื่อทำหน้าที่เป็นกรรม– They love cats.
– Linda gave books to her friends. 
– พวกเขารักแมว
– ลินดามอบหนังสือให้กับเพื่อนของเธอ
อยู่ข้างหลัง “enoughHe didn’t have enough money to buy that luxury car. เขาไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถหรูคันนั้น
หลังคำ Article เช่น a, an, the หรือคำชี้นำ เช่น this, that, these, those,…  This cat is so adorable. 
– She has bought a dress for her mother. 
– แมวตัวนี้น่ารักมาก
– เธอซื้อชุดให้แม่ของเธอ
ตามหลังคำว่า each, every, all, both, no, some any, few, a few, little, a little,…– There are a few cookies left in the fridge. 
Every child needs love and care. 
– มีคุกกี้เหลืออยู่สองสามชิ้นในตู้เย็น
– เด็กทุกคนต้องการความรักและความเอาใจใส่
หลังคำบุพบท เช่น in, on, of, with, under, about, at,…– Sarah is afraid of mice. 
– John is very interested in comedy. 
– ซาร่าห์กลัวหนูมาก
– จอห์นสนใจเรื่องตลกมาก

สัญญาณการรับรู้คำนาม: คำนามในภาษาอังกฤษมักจะได้รับรู้โดยส่วนต่อท้ายต่อไปนี้:

ส่วนต่อท้ายของคำนามตัวอย่าง
–tioneducation/imagination/nation
–sionvision/television/impression
–mentmovement/environment/pavement
–cedifference/preference/appliance
–nesskindness/happiness/carefulness
–er/or(มักจะเป็นคำนามที่หมายถึงบุคคล)worker/driver/coordinator/mentor
–ity/tyidentity/cruelty/quality
–shipfriendship/leadership/partnership
–icspolitics/economics/physics
–domfreedom/kingdom/boredom
–turenature/picture/creature
–ismoptimism/socialism/capitalism
–phyphilosophy/geography
–logybiology/psychology/theology
–cyconstancy/privacy/competency
–an/ianmusician/politician/magician
–ettecigarette/etiquette
–itudeattitude/multitude/solitude
–agecarriage/marriage/voyage
–thlength/growth/youth
–ry/tryindustry/bakery
–hoodchildhood/motherhood/fatherhood

คำกริยาในภาษาอังกฤษ (Verb)

คำกริยาคือคำที่บ่งบอกถึงการกระทำหรือสถานะของบุคคลหรือสิ่งของ

ตัวอย่าง:

part of speech คือ 5
คำกริยาในภาษาอังกฤษ

ตำแหน่งของคำกริยาในประโยค:

ตำแหน่งตัวอย่างความหมาย
หลังหัวเรื่อง– The dog likes playing in the garden.
– He walks about two kilometers every morning. 
– สุนัขชอบเล่นในสวน
– เขาเดินประมาณสองกิโลเมตรทุกเช้า
คำกริยาที่อยู่หลังคำวิเศษณ์บอกความถี่ เช่น always, usually, often, sometimes, seldom, rarely, never,…– I usually go to school by bus.  
– He seldom has breakfast. 
– ฉันมักจะไปโรงเรียนโดยรถประจำทาง
– เขาไม่ค่อยทานอาหารเช้า

สัญญาณการรับรู้คำกริยา: คำกริยาในภาษาอังกฤษมักจะมีส่วนต่อท้ายต่อไปนี้:

part of speech คือ 6
ส่วนต่อท้ายของคำกริยาตัวอย่าง
–ateirritate/demonstrate/illustrate
–enlengthen/soften/shorten
–ifyclarify/identify/beautify
–ise/izeminimize/maximize/realize/industrialize

คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษ (Adjective)

คำคุณศัพท์ คือคำที่อธิบายคุณสมบัติของสิ่งของ เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ

ตัวอย่าง:

part of speech คือ 7
คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษ

ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ในประโยค:

ตำแหน่งตัวอย่างความหมาย
ก่อนคำนาม เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมให้คำนามYesterday I met a handsome man.เมื่อวานฉันได้เจอคนหล่อมาก
หลังกริยา to be– Tom is hardworking.
– The movie is interesting. 
– ทอมขยันหมั่นเพียรมาก
– หนังน่าสนใจมาก
หลังคำวิเศษณ์The play we watched yesterday evening was extremely thrillingละครที่เราดูเมื่อเย็นวานนี้น่าตื่นเต้นมาก
หลังคำกริยาทางสัณฐานวิทยา เช่น seem, appear, feel, taste, look,…– Lan seems tired now.
– This dish tastes delicious.
– แลนดูเหนื่อยแล้ว
– อาหารจานนี้รสชาติอร่อย
ก่อน “enough”She is clever enough to participate in that competition.เธอฉลาดพอที่จะเข้าร่วมการแข่งขันนั้น
หลัง “too” หรือ “so”– It’s too late to come to the party right now.
– The weather was so hot that my family decided to go swimming.
– มันสายเกินไปแล้วที่จะมางานเลี้ยงตอนนี้
– อากาศร้อนมากจนครอบครัวของฉันตัดสินใจไปว่ายน้ำ

สัญญาณการรับรู้คำคุณศัพท์: คำคุณศัพท์มักจะมาพร้อมกับส่วนต่อท้ายต่อไปนี้:

part of speech คือ 8
part of speech คือ 9
ส่วนต่อท้ายของคำคุณศัพท์ตัวอย่าง
–alnational/royal/global
–fulbeautiful/awful/careful/peaceful
–lesshomeless/careless/useless/hopeless
–iveactive/imaginative/creative/impressive
–ableforgettable/unbelievable/reliable
–ousdangerous/glorious/humorous/continuous/famous
–cultdifficult
–ishselfish/childish/foolish
–edbored/excited/faded/crooked
–eseChinese/Vietnamese/Japanese
–engolden/wooden/broken/woolen
–icclassic/ironic/poetic/iconic
–iIraqi/Pakistani/Yemeni
–ianCanadian/Malaysian/European
–y (คำนาม + y เป็นคำคุณศัพท์)daily/monthly/yearly/friendly/juicy

เข้าใจแนวทางการใช้กาลต่างๆในภาษาอังกฤษอย่างมั่นคง:

คำวิเศษณ์ในภาษาอังกฤษ (Adverb)

คำวิเศษณ์ คือคำที่แสดงสภาพของบุคคล สิ่งของ หรือปรากฏการณ์

ตัวอย่าง:

part of speech คือ 11
คำวิเศษณ์ในภาษาอังกฤษ

ตำแหน่งของคำวิเศษณ์ในประโยค:

ตำแหน่งตัวอย่างความหมาย
ก่อนคำกริยา infinitive (โดยเฉพาะคำวิเศษณ์บอกความถี่: often, always, usually, seldom….)– He often stays up late. 
– I totally disagree with that viewpoint. 
– เขามักจะนอนดึก
– ฉันไม่เห็นด้วยกับมุมมองนั้นโดยสิ้นเชิง
ระหว่างคำกริยาช่วยกับคำกริยา infinitiveThe children have recently finished their homework.เด็กๆเพิ่งทำการบ้านเสร็จ
หลังคำกริยา to be/seem/look/feel/appear/sound… และก่อนคำคุณศัพท์– They seem very excited when watching the show.
– This melody sounds extremely familiar. I must have heard it. 
– ดูเหมือนพวกเขาจะสนใจดูรายการนั้นมาก
– ท่วงทำนองนี้ฟังดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง ฉันต้องเคยได้ยินมาก่อน 
หลัง “too”The man speaks too slowly.ผู้ชายพูดช้าเกินไป
ก่อน “enough”He ran quickly enough to catch the bus.  เขาวิ่งเร็วพอที่จะขึ้นรถบัส
คำวิเศษณ์ใช้ในโครงสร้าง so….thatHe drove so carelessly that he caused a serious accident. เขาขับรถโดยประมาทจนทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
คำวิเศษณ์ยังอยู่ขึ้นต้นประโยค หรือตรงกลางของประโยค และแยกออกจากส่วนอื่นของประโยคด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) Certainly, they will be here for dinner.
Unfortunately, I did not have enough time to complete the test. 
– แน่นอน พวกเขาจะมาที่นี่เพื่อทานอาหารเย็น
– น่าเสียดาย ฉันมีเวลาไม่พอที่จะทำแบบทดสอบให้เสร็จ

สัญญาณการรับรู้คำวิเศษณ์: คำวิเศษณ์มักจะมาพร้อมกับส่วนต่อท้ายต่อไปนี้:

part of speech คือ 12
ส่วนต่อท้ายของคำวิเศษณ์ตัวอย่าง
–lybeautifully/carefully/badly/quickly/excitingly
–warddownwards/homeward(s)/upwards
–wiseanti-clockwise/clockwise/edgewise

คำบุพบทในภาษาอังกฤษ (Preposition)

คำบุพบทคือคำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำวัตถุ วัตถุในวลี ในประโยค ภาษาอังกฤษมีคำบุพบทที่คุ้นเคย เช่น in, on, at, with, for, under, above,… คำที่มักตามหลังคำบุพบทได้แก่ คำกรรม อาการนาม หรือ นามวลี

part of speech คือ 13
คำบุพบทในภาษาอังกฤษ

ตำแหน่งของคำบุพบทในประโยค:

ตำแหน่งตัวอย่างความหมาย
คำบุพบทอยู่ที่หลังกริยา TO BE และก่อนคำนาม– The pictures are on the wall.
– The cat is under the bed. 
– รูปภาพอยู่บนผนัง
– แมวอยู่ใต้เตียง
คำบุพบทอยู่หลังคำกริยา infinitive– Tom is standing between Linda and Jack.
– The firefighters immediately put out the fire. 
– ทอมยืนอยู่ระหว่างลินดากับแจ็ค
– เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งดับไฟทันที
คำบุพบทอยู่หลังคำคุณศัพท์– She is fond of cooking.
– I am terrified of heights. 
– เธอชอบทำอาหาร
– ฉันกลัวความสูง

การจำแนกประเภทของคำบุพบททั่วไปในภาษาอังกฤษ:

ประเภทคำบุพบทคำบุพบททั่วไปแปลภาษาไทย
คำบุพบทบอกเวลาAtตอนที่ (มักจะไปกับเวลา)
Onใน (มักจะไปกับวัน)
Inใน (ใช้กับเดือน ปี ฤดู ศตวรรษ)
Beforeก่อน
Afterหลังจาก
Duringในช่วง (รวมนามของเวลา)
คำบุพบทบอกสถานที่Atที่ (ตามสถานที่เล็กๆ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล …)
In– ใน (ชี้ภายใน)– ที่ (เมืองใหญ่ จังหวัด ประเทศ ทวีป…)
On, above, overบน
Onด้านบนและสัมผัสกับพื้นผิว
คำบุพบทบอกการกระจัดTo, into, ontoมาถึง– To: เข้าหาเฉพาะคน สิ่งของ หรือสถานที่– Into: เข้าใกล้และเข้าไปในวัตถุหรือสถานที่นั้น– Onto: เข้าใกล้และสัมผัสกับพื้นผิว ด้านนอกของวัตถุ สถานที่
Fromชี้ถึงแหล่งกำเนิด
Acrossผ่าน
Alongตาม
Round, around, about รอบๆ
คำบุพบทบอกลักษณะWith กับ
Withoutไม่ ไม่มี
According toตาม
In spite ofทั้งๆที่มี
Instead ofแทน
คำบุพบทบอกวัตถุประสงค์To เพื่อ
In order toเพื่อ
Forให้, สำหรับ
So as toเพื่อ
คำบุพบทบอกสาเหตุThanks toด้วย
Throughเพราะ
Because ofเพราะว่า
Owing toเนื่องจาก
By means ofด้วยวิธีการ
คนวัยทำงานยังเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างดี

คำนำหน้านามในภาษาอังกฤษ (Determiner)

คำนำหน้านาม คือคำที่นำหน้าคำนามหรือนามวลีเพื่อจำกัดและกำหนดคำนาม/นามวลีนั้น ซึ่งช่วยให้ความหมายของสิ่งของ เหตุการณ์ และบุคคลที่กล่าวถึงในประโยคได้ชัดเจนขึ้น

ตัวอย่าง:

part of speech คือ 14
คำนำหน้านามในภาษาอังกฤษ

การจำแนกประเภทของคำนำหน้านามในภาษาอังกฤษ:

ประเภทของคำนำหน้านามรายการตัวอย่าง
Articlea, an, theThe boy I met yesterday was extremely naughty.
(เด็กชายที่ฉันพบเมื่อวานนี้ซนมาก)
Demonstrative Determinersthis, that, these, thoseThose apples are rotten. You should throw them away.
(แอปเปิ้ลเหล่านั้นเน่าเสียแล้ว คุณควรทิ้งมันไป)
Quantifiers– all, every, most, many, much, some, few, little, any, no.…
– one, two, three,…
– first, second, third,…
– We don’t have much oil for the fried chicken.
(เราไม่มีน้ำมันมากสำหรับไก่ทอด)
– She received many gifts on her birthday.
(เธอได้รับของขวัญมากมายในวันเกิดของเธอ)
– I only have two coins left.
(ฉันเหลือแค่สองเหรียญ)
– She won the third prize.
(เธอได้รับรางวัลที่สาม)
Interrogative Determinerswhose, which, what Whose car did you borrow?
(คุณยืมรถของใคร?)
Which books have you read?
(คุณอ่านหนังสือเล่มไหน?)

คำสรรพนามในภาษาอังกฤษ (Pronoun)

คำสรรพนามคือคำที่อ้างถึงบุคคลหรือสิ่งของที่ใช้แทนคำนามหรือวลีนามเฉพาะ จุดประสงค์ของการใช้คำสรรพนามคือเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนามซ้ำหลายครั้งเกินไป และทำให้ประโยคเป็นธรรมชาติมากขึ้น

มาเปรียบเทียบสองตัวอย่างต่อไปนี้:

-> ตามหลักไวยากรณ์ ทั้งสองประโยคข้างต้นต่างก็ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ประโยค (1) เกิดข้อผิดพลาดในการทำซ้ำหลายครั้งเมื่อพูดคำว่า “John”, “some reference books” ซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ทำให้ประโยคดูยาว แต่สับสนและไม่ต่อเนื่องกัน ในขณะเดียวกัน ประโยค (2) มีความหมายเหมือนกันแต่ใช้คำสรรพนาม “he” (แทน “John”) และ “them” (แทน “some reference books”) ด้วยเหตุนี้ ประโยคจึงหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการทำซ้ำ กลายเป็นสั้นลง กระชับและสอดคล้องกันมากขึ้น

part of speech คือ 15
คำสรรพนามในภาษาอังกฤษ

การจำแนกประเภทของคำสรรพนามในภาษาอังกฤษ:

ประเภทของคำสรรพนามหลักการใช้คำสรรพนามตัวอย่าง
บุรุษสรรพนามใช้แทนคน/กลุ่มคนและสิ่งของเฉพาะI – me
You – you
We – us
They – them
He – him
She – her
It – it
She will come to the party.
(เธอจะมางานเลี้ยง)
สรรพนามแสดงตนเองใช้เมื่อหัวเรื่องและกรรมเป็นวัตถุเดียวกันmyself
yourself
ourselves
themselves
himself
herself
itself
I made a cake for myself on my birthday.
(ฉันทำเค้กให้ตัวเองในวันเกิด)
สรรพนามบ่งชี้แสดงการชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นสิ่งไหน อันไหน หรือว่าคนไหนthis
that
these
those
This is the most wonderful book I have ever read.
(นี่เป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ฉันเคยอ่านมา)
สรรพนามเจ้าของใช้เพื่อระบุว่าวัตถุเป็นของใครmine
yours
ours
their
his
hers
its
All of these presents are yours.
(ของขวัญทั้งหมดนี้เป็นของคุณ)
สรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคใช้แทนคำนามนำหน้าซึ่งมีหน้าที่เชื่อมอนุประโยคใจความหลักกับอนุประโยคใจความรองใน relative clausewho – whom
which
that
whose
I love my mother who always supports me.
(ฉันรักแม่ คนที่คอยสนับสนุนฉันเสมอมา)
สรรพนามไม่เจาะจงชี้ 1 หรือหลาย (บุคคล/สิ่งของ) ที่ไม่เจาะจงanother
each
either
much
neither
both
few
many
others
all
any
more
most…
– There isn’t any milk in the fridge.
(ไม่มีนมในตู้เย็น)
– She spent some of the money fixing her car.
(เธอใช้เงินบางส่วนในการซ่อมรถของเธอ)
None of them knows the truth.
(ไม่มีใครรู้ความจริง)
Intensive pronounsมักจะตามด้วยคำนามหรือคำสรรพนามเพื่อเน้นย้ำ ซึ่งหมายถึง “คนนั้น/สิ่งนั้น”myself
yourself
ourselves
themselves
himself
herself
itself
The movie itself wasn’t very interesting but I love the main character.
(ตัวหนังก็ไม่น่าสนใจมากนัก แต่ฉันชอบพระเอก) 

คำสันธานในภาษาอังกฤษ (Conjunction)

คำสันธานคือคำที่ใช้เพื่อเชื่อมคำ วลี หรืออนุประโยคเข้าด้วยกันเพื่อสร้างประโยคที่เป็นเอกภาพ

ตัวอย่าง:

part of speech คือ 16
คำสันธานในภาษาอังกฤษ

การจำแนกประเภทของคำสันธานในภาษาอังกฤษ:

ประเภทของคำสันธานหลักการใช้ตัวอย่าง
Coordinating Conjunctionจับคู่ (หรือมากกว่า) หน่วยคำที่เทียบเท่ากัน (ประโยค อนุประโยค วลี)and (และ)
so (ดังนั้น)
yet (แต่)
but (แต่)
for (เพราะ)
as (เพราะ)
Correlative Conjunctionใช้คู่กันเสมอใช้เชื่อม 2 อนุประโยค ประโยค หรือวลีnot only… but also… (ไม่เพียง… แต่ยัง…)
either… or… (หรือ… หรือ…)
neither… nor… (หรือไม่… หรือไม่…)
Subordinating Conjunctionก่อนอนุประโยคใจความรองเพื่อเชื่อมอนุประโยคใจความรองกับอนุประโยคใจความหลักในประโยคas long as (ตราบเท่าที่)
although (แม้ว่า)
before (ก่อน)
after (หลัง)

คำอุทานในภาษาอังกฤษ (Interjection)

คำอุทานเป็นคำที่ใช้เพื่อแสดงความรู้สึกของผู้พูด แม้ว่าคำประเภทนี้จะไม่มีคุณค่าที่แท้จริงในแง่ของไวยากรณ์ แต่ก็มีการใช้ค่อนข้างบ่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสื่อสาร คำอุทานมักใช้แยกกันและตามด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) เมื่อเขียน

ตัวอย่าง: 

คำอุทานในภาษาอังกฤษ

ข้อสอบ Part of Speech ในภาษาอังกฤษ (พร้อมเฉลย)

แบบฝึกหัดที่ 1: เลือก Part of Speech ที่ถูกต้องสำหรับคำที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้

1. Mary is always late for school.

2. I want to move to Italy now.

3. Mr. John is sitting over there.

4. There are two posters on the wall.

5. The teacher put our plan into action.

6. Carley is learning about Japanese culture.

7. Jane is watching the movie which she likes the most.

8. My cousins live in different parts of America.

9. That was an enjoyable journey.

10. She was extremely surprised when she passed the exam.

แบบฝึกหัดที่ 2: เลือกคำที่แตกต่างจากคำที่เหลือ

1.

2.

3.

4.

5.

6.

7.

8.

9.

10.

11.

12.

13.

14.

15.

แบบฝึกหัดที่ 3: จงเลือกคำที่ผิดในประโยคต่อไปนี้

1. Because she gets sick yesterday, she decided to stay at home.

2. Have us prepared enough carrots for the soup?

3. The man ran too slow to catch the thief.

4. We had dinner at a famous Korea restaurant.

5. My brother wasn’t strong enough to lift these heavy box.

6. I helped his find it.

7. The weather was rather hot on day.

8. My friend said, “Oh! What a lovely hat!”

9. The beautiful of the city at night impressed us.

10. We got home late last night and went to sleep immediate. We were very tired.

แบบฝึกหัดที่ 4: จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องในประโยคต่อไปนี้

1. The bag which I want to buy is …

2. The letter was sent … my cousins in Australia.

3. Did you see a blue lunch box? It’s …

4. Sorry but I didn’t understand it. Can you …?

6. My mother is good … at work … at taking care of my family.

7. We couldn’t sleep last night because our neighbor sang …

8. I haven’t heard this … before.

9. My parents love living in the countryside because it is …

10. He has worked as … engineer for 5 years.

แบบฝึกหัดที่ 5: เติม Part of Speech ที่เหมาะสมด้วยคำที่กำหนดในวงเล็บ

1. Jane is very……….(care). She seldom makes mistakes.

2. The clown………..(attractive) us by standing and dancing on the ball.

3. Ben has a lot of………….(confident).

4. Thanks to my teacher, I have gained more………(know).

5. I think he has tried………(hard) in his first movie.

6. He has to be…………(responsibility) for what he did. 

7. Don’t go out late at night. It’s………..(danger).

8. I………(suggestion) going to the cinema. 

9. The meeting room should be……….(space) enough to contain about 20 people.

10. You should join outdoor………….(active) if you want to make more friends.

ข้อสรุป Part of Speech

การเชี่ยวชาญ Part of Speech ในภาษาอังกฤษและหลักการใช้คำเหล่านั้น จะช่วยให้คุณสร้างโครงสร้างประโยคที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกฝนนิสัยการเรียนรู้คำศัพท์รวมกับ Part of Speech คือการพัฒนาระดับภาษาอังกฤษของคุณทุกวันนะ

 4 เคล็ดลับสำหรับการเรียนด้วย ELSA Speak

Relative clause คือ? Relative Clause เป็นความรู้ที่สำคัญในเรื่องของไวยากรณ์ของอนุประโยคในภาษาอังกฤษ ดังนั้น บทความต่อไปนี้จะวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจพื้นฐานและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนควรฝึกทำแบบฝึกหัดในบทเรียนด้วยเพื่อจับใจความได้ดีขึ้น

นิยาม Relative Clause คืออะไร?

อนุประโยคสัมพัทธ์ – Relative Clause เป็น อนุประโยคไม่อิสระประเภทหนึ่ง ที่มีหัวเรื่องและกริยา แต่ไม่สามารถอยู่เดี่ยวเป็นประโยคได้ บางทีถูกเรียกว่าประโยคคำคุณศัพท์ (Adjective Clause) เพราะทำหน้าที่เหมือนกับคำคุณศัพท์ ก็คือ ขยายความหมายให้แก่คำนามในประโยค โดย Relative Clause จะขึ้นต้นด้วยคำสรรพนามสัมพัทธ์เสมอ (Relative Pronoun)

ประเภทของ Relative Clause ในภาษาอังกฤษ

Relative Clause แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

Relative Clause แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
Relative Clause แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

Defining Relative Clause คือ

หน้าที่:

Defining Relative Clause ตัวอย่าง: The man who is sitting next to you is handsome. (ผู้ชาย คนที่นั่งข้างคุณหล่อจังเลย)

ถ้าไม่มี Relative Clause “who is sitting next to you” ก็จะไม่สามารถระบุได้ว่า “the man” คือใคร

Non-defining Relative Clause

หน้าที่:

Non-defining Relative Clause ตัวอย่างประโยค: Rosie, who is sitting next to you, is beautiful. (โรซี่ คนที่นั่งข้างคุณ สวยจังเลย)

ถ้าไม่มี Relative Clause “who is sitting next to you” Rosie ยังคงเป็นคำนามที่ระบุได้

คำสรรพนามสัมพัทธ์ (Relative Pronouns)

คำสรรพนามสัมพัทธ์ (Relative Pronouns) เริ่มต้น Relative Clause โดย Relative Pronouns ที่ผู้เรียนใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุที่ผู้เรียนกำลังอ้างถึงและประเภทของ Relative Clause การแยกความแตกต่างระหว่าง Relative Pronouns จะขึ้นอยู่กับหน้าที่ในประโยค

Who

ตัวอย่าง: The boy who is wearing a green jacket is my younger brother. (เด็กผู้ชาย คนที่สวมแจ็คเก็ตสีเขียวคือน้องชายของฉัน)

ใน Relative Clause “who is wearing a green jacket”, Relative Pronouns “who” แทนให้ “the boy” และทำหน้าที่เป็นหัวเรื่องในประโยค

Whom

ตัวอย่าง: Mei likes the man whom I met at the party last night. (เมย์ชอบผู้ชายที่ฉันเจอในงานปาร์ตี้เมื่อคืนนี้)

Whom ใช้ยังไงใน Relative Clause “whom I met at the party last night”, Relative Pronouns “whom” แทนให้ “the man” ทำหน้าที่เป็นกรรม ที่ตรงกับหัวเรื่อง “I” และกริยา “met”

Which

ตัวอย่าง: We have seen a lot of changes which are good for business.

ใน Relative Clause “which are good for business”, Relative Pronouns “which” แทนให้ “changes” – คำนามที่ระบุสิ่งของ ทำหน้าที่เป็นหัวเรื่องในประโยค

ตัวอย่าง: It was the same picture which I saw yesterday. (นั่นคือภาพที่ฉันเห็นเมื่อวานนี้)

ใน Relative Clause “which I saw yesterday”, Relative Pronouns “which” แทนให้ “the same picture” – คำนามที่ระบุสิ่งของ ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค ที่ตรงกับหัวเรื่อง “I” และกริยา “saw”

ตัวอย่าง: Lisa got the low mark in the Math, which made her parents sad. (ลิซ่าได้คะแนนต่ำในวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งทำให้พ่อแม่ของเธอเสียใจมาก)

ใน Relative Clause “which made her parents sad”, Relative Pronouns “which” ที่นี่ไม่เพียงแทนให้ “low mark in the Math” เพราะคะแนนต่ำในวิชาคณิตศาสตร์ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ของลิซ่าเสียใจ แต่เรื่องลิซ่าได้คะแนนต่ำในวิชาคณิตศาสตร์ทำให้พ่อแม่ของลิซ่าเสียใจ ดังนั้น “which” จะแทนให้ทั้งอนุประโยคที่นำหน้ามัน

That

ใช้แทน “who”, “whom”, “which” ใน Relative Clause ที่ระบุคน สัตว์ และสิ่งของ That ได้ใช้ใน Defining Relative Clause เท่านั้น That จะเป็นทางการน้อยกว่า “who”, “whom” และ “which”

ตัวอย่าง:

Whose

ตัวอย่าง: He’s marrying a girl whose family don’t seem to like him. (เขากำลังจะแต่งงานกับหญิงสาว ที่ดูเหมือนครอบครัวของเธอจะไม่ชอบเขา)

ใน Relative Clause “whose family don’t seem to like him”, Relative Pronouns “whose” ใช้แทนคำแสดงความเป็นเจ้าของ “her” – ของเธอ

เพื่ออธิบายหน้าที่ของ Whose ผู้เขียนจะวิเคราะห์ประโยคดังนี้: “family” เป็นหัวเรื่อง, กริยาคือ “don’t like”, กรรมคือ “him” และคำที่จะแทนที่คือ “girl”. คำนามที่อยู่ข้างหลังคือ “family” และถ้าเขียนครบก็จะเป็น “her family or the girl’s family” ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดความเป็นเจ้าของ และ “whose” ทำหน้าที่แทนความเป็นเจ้าของในประโยคนี้

คำกริยาวิเศษณ์เชื่อมอนุประโยค (Relative adverbs)

Where

ตัวอย่าง: I know a restaurant where the food is excellent. (ฉันรู้จักร้านอาหารที่อาหารอร่อยมาก)

ใน Relative Clause “where the food is excellent.”, Relative Pronouns “where” แทนให้คำวิเศษณ์ที่ระบุสถานที่ “in the restaurant” เพราะประโยคนี้ถ้าเขียนครบก็จะเป็น “the food in the restaurant is excellent” ดังนั้น “where” ที่นี่จึงไม่ใช่แค่ใช้แทน “restaurant” แต่ใช้แทนทั้งวลีที่ระบุสถานที่ “in the restaurant”

When

ตัวอย่าง: 17th of June, 1995 is the day when I was born. (วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2538 เป็นวันที่ฉันเกิด)

ใน Relative Clause “when I was born”, Relative Pronouns “when” แทนให้คำวิเศษณ์ที่ระบุเวลา “on 17th of June, 1995” เพราะประโยคนี้ถ้าเขียนครบก็จะเป็น “I was born on 17th of June, 1995” ดังนั้น “when” ที่นี่ใช้แทนทั้งวลีที่ระบุเวล “on 17th of June, 1995”

Why

ตัวอย่าง: Do you know the reason why the shop is closed today? (คุณรู้ไหมว่า ทำไมวันนี้ร้านปิด?)

ใน Relative Clause “why the shop is closed today?”, Relative Pronouns “why” แทนให้วลีระบุเหตุผล “for the reason” เพราะประโยคนี้ถ้าเขียนครบก็จะเป็น “Do you know the reason. The shop is closed today for that reason.”

เรียนภาษาอังกฤษด้วยแอป ELSA Speak ดีหรือไม่

สรรพนามสัมพัทธ์คู่

สรรพนามสัมพัทธ์คู่เป็นสรรพนามสัมพัทธ์ที่ใช้กับหน้าที่คู่:

Whoever (ใครก็ตาม)

ตัวอย่าง: Whoever comes to see me, ask them to wait. (ใครก็ตามที่มาหาฉัน ก็บอกให้รอ)

ใน Relative Clause “Whoever comes to see me”, “whoever” ทำหน้าที่เป็นหัวเรื่องของประโยค และยังทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมเพื่อเชื่อมอนุประโยค “Whoever comes to see me” กับส่วนที่เหลือของประโยค

Whomever (ใครก็ตาม)

ตัวอย่าง: Whomever you hire will be fine with me. (ใครก็ตามที่คุณจ้างก็จะดีสำหรับฉัน)

ใน Relative Clause “Whomever you hire”, Relative Pronouns “whomever” แทนให้กรรมที่ตรงกับหัวเรื่อง “I” และกริยา “hire” และเป็นคำเชื่อมเพื่อเชื่อม “you hire” กับส่วนที่เหลือของประโยค

Whichever (ไม่ว่าอันไหนก็ตาม)

ตัวอย่าง: Whichever train you take from here, you will end at Charing Cross station. (ไม่ว่าคุณจะขึ้นรถไฟขบวนไหนจากที่นี่ คุณจะไปสิ้นสุดที่สถานี ชาริ่งครอส)

ใน Relative Clause “Whichever train you take from here”, Relative Pronouns “whichever” แทนให้กรรม “train” ที่ตรงกับหัวเรื่อง “you” และกริยา “take” และเป็นคำเชื่อมเพื่อเชื่อม “you take from here” กับส่วนที่เหลือของประโยค

Whatever (อะไรก็ตาม)

ตัวอย่าง: Pinkie will be successful at whatever she chooses to do in life. (Pinkie จะประสบความสำเร็จไม่ว่าเธอจะเลือกทำอะไรก็ตาม)

ใน Relative Clause “Whatever she chooses”, Relative Pronouns “whatever” แทนให้กรรมอยู่ในอนุประโยคนำหน้า ที่ตรงกับหัวเรื่อง “Pinkie” และกริยา “will be successful at” แล้วก็เป็นกรรมของอนุประโยคด้านหลัง ตรงกับหัวเรื่อง “she” และกริยา “chooses to do”

Whenever (เมื่อไหร่ก็ตาม)

ตัวอย่าง: Whenever it rains, I stay indoors. (เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตก ฉันจะอยู่ในบ้าน)

ใน Relative Clause “Whenever it rains”, Relative Pronouns “whenever” แทนให้คำวิเศษณ์ที่ระบุเวลา และเป็นคำเชื่อมเพื่อเชื่อม “it rains” กับส่วนที่เหลือของประโยค

Wherever (ที่ไหนก็ได้)

ตัวอย่าง: Wherever you go, I will follow you. (ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ตาม ฉันจะตามคุณไป)

ใน Relative Clause “Wherever you go”, Relative Pronouns “wherever” แทนให้คำวิเศษณ์ที่ระบุสถานที่ และเป็นคำเชื่อมเพื่อเชื่อม “you go” กับส่วนที่เหลือของประโยค

หมายเหตุ: ในคำพูดที่ไม่เป็นทางการ คำเชื่อมเหล่านี้บางครั้งใช้เป็นคำตอบสั้นๆ

ตัวอย่าง:

ในคำพูดที่ไม่เป็นทางการ คำเชื่อมเหล่านี้บางครั้งใช้เป็นคำตอบสั้นๆ

การลดรูป Relative Clause (Reduced Relative clause)

Relative Clause สามารถลดรูปให้สั้นลง ซึ่งทำให้ผู้เรียนรับรู้และวิเคราะห์ความหมายของประโยคได้ยากขึ้น

รูปแบบการลดรูปของ Relative Clause ที่พบบ่อยที่สุด 2 รูปแบบ ได้แก่

Relative Clause การลดรูป 2 รูปแบบที่พบบ่อยที่สุด 
Relative Clause การลดรูป 2 รูปแบบที่พบบ่อยที่สุด 

ลดรูปในรูปแบบ Present Participle (V-ing)

ถ้ากริยาของ Relative Clause ในกรณีที่หัวเรื่องกระทำกริยานั้น สามารถละ Relative Pronouns ได้ และกริยาก็จะได้ผันในรูปแบบ Present Participle (V-ing)

ตัวอย่าง: The professor who teaches English Literature is leaving our university.

วิธีลดรูป: The professor who teaches -> teaching English Literature is leaving our university.

→ The professor teaching English Literature is leaving our university.

ลดรูปในรูปแบบ Past Participle (V3/V-ed)

ถ้ากริยาของ Relative Clause ในรูป passive form (be + V3/V-ed) Relative Pronouns และ “be” สามารถละทิ้งได้ และกริยายังคงอยู่ในรูปแบบ Present Participle (V3/V-ed).

ตัวอย่าง: The candidates who were chosen after the interview will have a field trip to our company.

วิธีลดรูป: The candidates who were chosen after the interview will have a field trip to our company.

→ The candidates chosen after the interview will have a field trip to our company.

คุณเคยสงสัยไหมว่า have has ใช้ยังไง ในรูปแบบ Past Participle จะใช้แบบนี้ มาลองอ่านบทความนี้เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานและแบบฝึกหัดเพิ่มเติมกันเถอะ

หมายเหตุบางอย่างในการใช้ Relative Clause

1. ใช้ that ในโครงสร้างประโยคตายตัว

ตัวอย่าง: 

He and his dog that have been together for 10 years are very famous in my hometown. (เขาและสุนัขของเขาที่อยู่ด้วยกันมา 10 ปีแล้ว พวกเขามีชื่อเสียงมากในบ้านเกิดของฉัน)

→ She blamed herself for everything that had happened. (เธอโทษตัวเองสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น)

→ The Wimbledon men’s final was the best game of tennis that I’ve ever seen. (การแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดันชายรอบชิงชนะเลิศเป็นการแข่งขันเทนนิสที่ดีที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา)

2. หมายเหตุ: แยกแยะ Relative Pronouns: ใส่ Relative Pronouns ไว้ข้างคำนามที่มันแทนที่เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความกำกวมโดยไม่จำเป็น

ตัวอย่าง:

ในประโยคที่ผิด ผู้อ่านอาจไม่สามารถแยกแยะหรือเข้าใจผิดว่า “วันฮัลโลวีนที่น่ากลัว” แทนที่จะเป็น “ชุดผีที่น่ากลัว” ดังนั้น เพื่อเพิ่มความชัดเจน ให้ใส่ Relative Pronoun ตามหลังคำนามที่มันจะแทนที่

3. Relative Clause ที่เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมให้คำนาม (วลี) คำไหน จะต้องอยู่หลังคำนาม (วลี) คำนั้น

4. ในประโยคเชิงซ้อนที่ใช้ Relative clause จะต้องมี independent clause และ dependent clause

independent clause dependent clause

5. ตรวจสอบให้แน่ใจว่า แต่ละอนุประโยคมีหัวเรื่องและกริยา/กริยาวลีเพียงพอ และสามารถจัดเรียงใหม่เป็นประโยคเดี่ยวที่มีความหมาย

หมายเหตุบางอย่างในการใช้ Relative Clause
หมายเหตุบางอย่างในการใช้ Relative Clause

ตัวอย่าง:

การใช้ Irregular Verbs หรือกริยาไม่ปกติในแต่ละ Tense ต้องใช้อย่างไรบ้าง มาเรียนรู้ irregular verbs กว่า 600 คำกับ ELSA Speak กัน

แบบฝึกหัด Relative Clause พร้อมเฉลย

แบบฝึกหัดที่ 1: เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับแต่ละประโยคต่อไปนี้

1. He was taking exercises ____ handed by her teacher.

A.which

B. who

C. who

D. whom

2. The kid, ____ stole the car, was hiding in the building.

A. that

B. who

C. whom

D. which

3. My uncle has started a new company ____ make him a millionaire.

A. whose

B. Who

C. Whom

D. Which

4. Do you know the girl ____ we saw at the birthday party last year?

A. which

B. whose

C.who

D. whom

5. The exercise that we were taught ____ very difficult.

A. is

B. has been

C. are

D. was

6. The neighbor _____ in front of me kept chatting during the workshop,_____ annoy me very much

A. had sat/ who

B. sitting/ which

C. to sit/ that

D. sitting/ that

7. Was Manchester United stadium the largest ____ in the world?

A. to be built

B. which was built

C. built

D. build

8. This is the city in _____ my friends have moved to live since 2016.

A. which

B. who

C. whose

D. where

9. Her grandfather,____ was loved by neighbor , is a popular actor.

A. who

B. that

C. where

D. which

10. The structure site, _____ is constructed in a large area, is very famous.

A. of which

B. which

C. who

D. whom

เฉลย:

12345678910
ABDDDBAAAA

แบบฝึกหัดที่ 2: ค้นหาข้อผิดพลาดในประโยค

  1. The boy whose I saw last night was very handsome.
  2. The Spanish actor, which has disabilities, can also speak France.
  3. After a terrible night, the boy next door who I told you will move to a new place.
  4. The International Holiday is the time which adolescence be off from work for 4 days.
  5. Do you understand the reason which he made that decision?
  6. The man who him told me this morning was absolutely a genius.
  7. The person which I admire appeared on TV this afternoon.

เฉลย:

  1. whose
  2. which
  3. who
  4. which
  5. which
  6. him
  7. which

แบบฝึกหัดที่ 3: เขียนประโยคใหม่เพื่อย่อ Relative Clause

  1. The construction site was constructed on the lake. It provides a large area for entertainment.
  1. Have you ever had a conversation with him? He is standing at the table.
  1. I learned to use this tool when I was young. This tool helps me alot in my work
  1. She came from the countryside. The place is located near the sea.
  1. The dishes were so tasty. I had it all in 20 minutes.

เฉลย:

  1. The construction site was constructed on the lake, which provides a large area for entertainment.
  2. Have you ever had a conversation with the man who is standing at the table?
  3. I learned to use this tool, which helps me a lot in my work when I was young.
  4. She came from the countryside which is located near the sea.
  5. The dishes were so tasty that I had it all in 20 minutes.
แพ็กเกจเรียน ELSA Premium
banner (compare free vs pro)

บทสรุป Relative Clause

Relative Pronouns เป็นความรู้ชิ้นสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ Relative Clause ได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้วิเคราะห์ตามหน้าที่ของ Relative Pronouns ใน Relative Clause เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานในการทำความเข้าใจและนำไปใช้ Relative Pronouns ได้อย่างถูกต้อง

Future Continuous Tense เป็นหนึ่งใน tense พื้นฐานในภาษาอังกฤษ ในบทความนี้ มาร่วมกับ ELSA Speak เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการใช้งาน และการประยุกต์ใช้ Future Continuous Tense ในสถานการณ์ต่างๆ ตั้งแต่การแสดงการกระทำในอนาคตที่วางแผนไว้ จนถึงการแสดงความต่อเนื่องของการกระทำในเวลาที่กำหนดในอนาคต มาลองดูวิธีการใช้ Future Continuous Tense ในบทความด้านล่างนี้กันนะ!

Future Continuous Tense คืออะไร

เป็น tense ที่มีหน้าที่หลักคือ แสดงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต

ตัวอย่าง

This time next month, I will be studying in London.

(เวลานี้เดือนหน้า ฉันจะกำลังเรียนที่ลอนดอน) 

Tomorrow, our daughter will be competing in a basketball match at 10am. 

(พรุ่งนี้ ลูกสาวพวกเราจะกำลังแข่งบาสตอนสิบโมงเช้า)

คำนิยาม Future Continuous
คำนิยาม Future Continuous Tense

โครงสร้าง Future Continuous Tense

รูปแบบประโยคบอกเล่า

รูปแบบประโยคปฏิเสธ

รูปแบบประโยคคำถาม

S + will + be + V-ing + O

หมายเหตุ: will= ‘ll               

ตัวอย่าง

At 10 am tomorrow, our daughter will be performing on stage. 

(วันพรุ่งนี้ในเวลาสิบโมงเช้า ลูกสาวของพวกเราจะกำลังแสดงบนเวที)

Julia and Mary will be traveling in Bali this time next month.

(จูเลียและแมรี่จะกำลังเดินทางในบาหลีในเดือนหน้านี้) 

รูปแบบประโยคบอกเล่าของ Future Continuous Tense
รูปแบบประโยคบอกเล่าของ Future Continuous Tense

รูปแบบประโยคปฏิเสธ

S + will not + be + V-ing + O

หมายเหตุ: will not = won’t      

ตัวอย่าง

Laura has delayed going to Korea to study, so she won’t be studying there at the end of this year. 

(ลอร่าเลื่อนการไปเรียนต่อที่เกาหลี ดังนั้นเธอจะไม่เรียนที่นั่นในสิ้นปีนี้)   

I think they won’t be cooking when we get there. We have agreed to eat out.

(ฉันคิดว่าพวกเขาจะไม่ทำอาหารเมื่อเราไปถึงที่นั่น เราตกลงกันว่าจะทานอาหารนอกบ้าน)

รูปแบบประโยคปฏิเสธ
รูปแบบประโยคปฏิเสธของ Future Continuous Tense

รูปแบบประโยคคำถาม

A. คำถาม Yes – No

Will + S +  be + V-ing + …?

Yes, S + will.

No, S + won’t.

ตัวอย่าง

Will our team be playing when we get there?

(ทีมของเราจะกำลังเล่นเมื่อเราไปถึงที่นั่นใช่ไหม?) 

Yes, they will. I think so.

(ใช่ คงกำลังเล่นนะ ฉันคิดแบบนั้น)  

Will Tan be living with you this time in July?

(กรกฎาคมนี้ ตาลจะกำลังอยู่กับคุณใช่ไหม?)

No, she won’t. She has canceled the plan.  

(ไม่นะ เธอจะไม่อยู่ เธอยกเลิกแผนไปแล้ว) 

รูปแบบประโยคคำถาม Yes - No ของ Future Continuous Tense
รูปแบบประโยคคำถาม Yes – No ของ Future Continuous Tense

B. คำถาม Wh-

คำใช้ถามไม่ใช่หัวเรื่อง

What/ Where/ When/ Why/ How/ Who(m) + will + (not) + S + be + V-ing + …?

ตัวอย่าง

What will they be discussing when we get to the meeting?

(พวกเขาจะกำลังคุยอะไรกันเมื่อเราไปถึงที่ประชุม?)

Who(m) will our mom be talking to when we get home?

(แม่ของเราจะกำลังคุยกับใครเมื่อเรากลับถึงบ้าน?)

Which movie will Peter be watching at 7:30 this evening?

(ปีเตอร์จะกำลังดูหนังเรื่องไหนตอน 7:30 น. เย็นนี้?)

คำใช้ถามคือหัวเรื่อง

What/ Who + will (not) + be + V-ing + …?

ตัวอย่าง

What will be happening when we arrive at the party?

(มีอะไรจะกำลังเกิดขึ้นเมื่อเราไปถึงงานปาร์ตี้?)

Who will be performing at 8 tomorrow evening?

(ใครจะกำลังขึ้นแสดงตอนสองทุ่มวันพรุ่งนี้?)

Future Continuous Tense ในรูปแบบประโยคคำถาม Wh-
Future Continuous Tense ในรูปแบบประโยคคำถาม Wh-

หลักการเติม -ing ใน Future Continuous Tense

หลักการทั่วไป

ถ้าคำกริยาที่จะผันไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ด้านล่างนี้ ให้เติม -ing ต่อกริยาตามปกติ

ตัวอย่าง กริยาเติม ing

cook → cooking

sing → singing

perform → performing

repeat → repeating

>>> Read more: กริยาไม่ปกติ (Irregular Verbs) ในภาษาอังกฤษที่ครบถ้วนที่สุด

คำกริยาที่ลงท้ายด้วย “e”

เมื่อคำกริยาที่จะผันลงท้ายด้วย “e” เราต้องทิ้ง “e” แล้วเติม -ing

ตัวอย่าง

(race → racing)

(wave → waving)

คำกริยาที่ลงท้ายด้วย “ie”

ในกรณีนี้ เราต้องเปลี่ยน “ie” เป็น “y” แล้วเติม -ing

ตัวอย่าง

(lie → lying) 

(die → dying)

คำกริยาที่มี 1 พยางค์ ลงท้ายด้วยพยัญชนะ นำหน้าด้วยสระ

ในกรณีนี้ เราเพิ่มพยัญชนะตัวสุดท้ายเป็นสองเท่า แล้วเติม -ing

ตัวอย่าง

(cut → cutting)

(put → putting)

คำกริยาที่มี 2 พยางค์ ลงท้ายด้วยพยัญชนะ นำหน้าด้วยสระ เน้นเสียงอยู่ที่พยางค์ที่ 2

ในกรณีนี้ เรายังเพิ่มพยัญชนะตัวสุดท้ายเป็นสองเท่า แล้วเติม -ing

ตัวอย่าง

(begin→ beginning; /bɪˈɡɪn/)

บางกรณีที่พิเศษ

หลักการใช้ Future Continuous Tense

แสดงการกระทำที่กำลังดำเนินการในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต

Our kids will be playing at the waterpark this time tomorrow. 

(ลูกๆ ของเราจะกำลังเล่นที่สวนน้ำในเวลานี้ในวันพรุ่งนี้)  

As they have canceled the trip, they won’t be relaxing on that island next weekend. 

(เนื่องจากพวกเขายกเลิกการเดินทางไปแล้ว พวกเขาจะไม่พักผ่อนบนเกาะแห่งนั้นในสุดสัปดาห์หน้า)

แสดงการกระทำที่จะกำลังดำเนินการ (ในช่วงเวลาหนึ่ง) ในอนาคต แล้วมีการกระทำอื่นเกิดขึ้นหรือขัดจังหวะ

I think they will be cooking dinner when the kids get to their place. 

(ฉันคิดว่าพวกเขาจะกำลังทำอาหารเย็นเมื่อเด็กไปถึงที่ของพวกเขา) 

Trust me! They won’t be talking about that problem when we enter the meeting. They already discussed it yesterday. 

(เชื่อฉันเถอะ! พวกเขาจะไม่พูดถึงปัญหานั้นเมื่อเราเข้าประชุม พวกเขาคุยกันแล้วเมื่อวานนี้) 

ELSA Speak Premium

แสดงการกระทำหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต

หมายเหตุ: ใน Continuous Tense อื่นๆ คือ Present Continuous Tense และ Past Continuous Tense คำสันธานระหว่างสองอนุประโยค (ต่างใช้ Future Continuous Tense) จะเป็น “while” แต่ว่าเราไม่สามารถใช้ Future Tense (รวมถึง Future Continuous Tense) ในอนุประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำสันธานบอกเวลา เช่น ‘ while’, ‘when’ เป็นต้น ดังนั้นในกรณีนี้ เราจะใช้คำเชื่อม ‘and’ เพื่อเชื่อมอนุประโยคทั้งสอง

This time next Friday, we will be working, and he will be resting at home. 

(เวลานี้วันศุกร์หน้า พวกเขาจะกำลังทำงานและเขาคงกำลังพักผ่อนที่บ้าน)   

Alan will be studying at school, and Jerry will be hanging out with friends at 10:15 tomorrow morning. 

(อลันจะกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียน ส่วนเจอร์รี่จะกำลังออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในพรุ่งนี้เช้าในเวลา 10.15 น.)   

รวมกับ ‘‘still’ เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดและมีแนวโน้มที่จะกำลังดำเนินต่อไปในอนาคต

I think when our boss gets here, we will still be typing this report. It’s so long. 

(ฉันคิดว่าเมื่อหัวหน้ามาถึงที่นี่ เราจะยังคงกำลังพิมพ์รายงานนี้อยู่ มันยาวมาก)  

I guess at 10, the children will still be watching TV. 

(ฉันเดาว่าตอน 10 โมง เด็กๆ จะยังคงกำลังดูทีวีอยู่)

เน้นหรือถามถึงแผนและความตั้งใจในอนาคต

We will be flying to Japan this Summer. 

(เราจะบินไปญี่ปุ่นในฤดูร้อนนี้)

Will you be attending the meeting tomorrow? 

(คุณจะเข้าร่วมการประชุมในวันพรุ่งนี้หรือไม่)

สร้างบรรยากาศเมื่อจินตนาการ/ทำนายอนาคต โดยปกติจะมีการกระทำมากกว่า 1 การใน Future Continuous Tense

When she gets to the restaurant, he will be waiting for her, the music will be playing and the server will be preparing the champagne

(เมื่อเธอไปถึงร้านอาหาร เขาจะกำลังรอเธออยู่ เพลงจะกำลังเล่น และเซิร์ฟเวอร์จะกำลังเตรียมแชมเปญ)

Everyone will be cheering and waving their hands when the singer appears on the stage. 

(ทุกคนจะกำลังส่งเสียงเชียร์และโบกมือเมื่อนักร้องปรากฏตัวบนเวที)

เรียนภาษาอังกฤษแบบ 1-1 กับ ELSA Speak

สัญญาณการรับรู้ Future Continuous Tense

มีปัจจัยอย่างหนึ่งด้านล่างนี้

หมายเหตุบางอย่างของ Future Continuous Tense

สำหรับอนุประโยคที่ขึ้นต้นด้วย when, while, before, after, by the time, as soon as, if, if, less…

เราจะไม่ใช้ Future Tense ในอนุประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำสันธานบอกเวลาข้างต้น เนื่องจากมีหลักการว่า Future Tense จะไม่ใช้ในอนุประโยคบอกเวลา

ในขณะเดียวกันก็มีสาเหตุแยกจากกันสำหรับแต่ละคำสันธาน (กลุ่มคำสันธาน) ดังต่อไปนี้:

ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (Passive voice) ของ Future Continuous Tense

Future Continuous Tense มีโครงสร้างประโยค Passive voice ค่อนข้างแปลก:

S + will + be + being + V3/ed +…

(โครงสร้างประโยค Active voice (ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ): S + will + be + V-ing)

ซึ่ง: มี S และ V3/ed เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง ส่วนประกอบที่เหลือจะยังคงเหมือนเดิมเสมอ

ตัวอย่าง

The tree will be being cut down when we get there. 

(ต้นไม้จะถูกโค่นเมื่อมันไปถึงที่นั่น)  

At the moment we arrive, dinner will be being cooked

(พอเรามาถึง อาหารเย็นจะกำลังถูกปรุง) 

คำกริยาที่ไม่ได้ใช้ใน Future Continuous Tense

A. คำกริยาแสดงอารมณ์ ชอบ เกลียด ความต้องการ…

หมายเหตุ: คำกริยา ‘like’, ‘love’, ‘dislike’ และ ‘hate’ ยังสามารถนำมาใช้ใน Present Continuous Tense เมื่อผู้พูดต้องการเน้นความชั่วคราวของอารมณ์ แต่ว่ากรณีนี้ไม่เป็นที่นิยม

B. คำกริยาแสดงความคิด ความเห็น…

หมายเหตุ: เมื่อคำกริยา ‘think’ หมายถึง “คิดถึงใครบางคน/บางสิ่ง” และตามด้วย ‘of/ about’ + คำนาม เราก็สามารถใช้ ‘think’ ใน Present Continuous Tense

C. คำกริยาเชื่อมโยง (linking verbs) และเกี่ยวข้องกับการรับรู้ทางประสาทสัมผัส

หมายเหตุ: เมื่อคำกริยาข้างต้นไม่ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยง และไม่แสดงการรับรู้ทางประสาทสัมผัส แต่ทำหน้าที่ของคำกริยาการกระทำและแสดงการกระทำ เราสามารถใช้มันได้ใน Present Continuous Tense เมื่อมันมีความหมายต่อไปนี้:

D. คำกริยาเชื่อม ‘be’

‘be’ ไม่ค่อยได้ใช้ใน Continuous Tense คุณต้องหลีกเลี่ยงการแปลโดยตรงจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการใช้ ‘be’ ใน Continuous Tense เมื่อไม่จำเป็นหรือไม่ควรใช้

ตัวอย่าง

คุณมีประโยคภาษาไทยในหัวอยู่แล้วว่า “เธอจะกำลังเศร้า…” 

จากนั้นพยายามแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “She will be BEING sad…”

ในขณะที่วิธีพูดที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และเป็นธรรมชาติที่สุดก็คือ “She will be sad…”

ดังนั้นแทนที่จะคิดเป็นภาษาไทยแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษ คุณเพียงแค่พิจารณาจากแนวคิดที่คุณต้องการพูด จากนั้นเลือกโครงสร้างและคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมเพื่อแสดงแนวคิดนั้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกรณีที่ผู้พูดใช้ ‘be’ ใน Present Continuous Tense เพื่อเน้นเรื่องชั่วคราว

Future Continuous Tense ตัวอย่างประโยค

ตัวอย่างประโยค Future Continuous Tense 10 ประโยค:

At this time next week, we won’t be working.

(ในเวลานี้ในสัปดาห์หน้า เราจะไม่ทำงาน)   

Our daughter will be competing in a football match at 8 am tomorrow. 

(ลูกสาวของเราจะกำลังแข่งขันฟุตบอลในเวลาแปดโมงเช้าพรุ่งนี้)    

Lucy and Luke will be visiting their aunt in Texas at the end of this month. 

(ลูซี่และลุคจะกำลังไปเยี่ยมป้าที่เท็กซัสในสิ้นเดือนนี้)

Will your team be working overtime this week?

(ทีมของคุณจะทำงานล่วงเวลาในสัปดาห์นี้หรือไม่?)  

What song will be playing when we get there, you think?

(คุณคิดว่า เพลงอะไรที่จะกำลังเล่นเมื่อเราไปถึงที่นั่น?)  

The kids will be watching Netflix when I tell them to go to bed. 

(เด็กๆ จะกำลังดูเน็ตฟลิกซ์เมื่อฉันบอกให้เข้านอน)

At the time you call him, he may be talking to a customer. 

(เมื่อคุณโทรหาเขา เขาคงกำลังคุยกับลูกค้าอยู่)

(หมายเหตุ: เราสามารถแทนที่ ‘will’ ด้วย ‘may’- “อาจจะ” เพื่อแสดงว่าเราไม่แน่ใจในการคาดการณ์ในอนาคตของเรา)

I think when our guests arrive, we will still be cooking. There’s too much to do. 

(ฉันคิดว่าเมื่อแขกมาถึง เราคงกำลังทำอาหารอยู่ มีหลายอย่างมากที่ต้องทำ) 

At this time tomorrow, we’ll be discussing the new project and he’ll be talking to that customer. 

(ในเวลานี้ในพรุ่งนี้ พวกเราจะกำลังหารือเกี่ยวกับโครงการใหม่ และเขาจะกำลังพูดคุยกับลูกค้ารายนั้น)

When we enter the room, I think that team will be presenting their idea and our boss will be listening with attention. 

(เมื่อเราเข้าไปในห้อง ฉันคิดว่าทีมนั้นจะกำลังนำเสนอแนวคิดและเจ้านายจะกำลังตั้งใจฟัง)

ความแตกต่างระหว่าง Future Continuous Tense, Future Simple Tense และ Near Future Tense

ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากจุดเหมือนกันที่ว่า ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ Future Tense แล้ว โครงสร้างและหน้าที่ส่วนใหญ่ของ 3 tense ข้างต้นก็ค่อนข้างแตกต่างกัน ยกเว้น 2 หน้าที่ในการทำนาย/คาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตและการตัดสินใจ/วางแผนสำหรับอนาคต

ELSA Speak ได้รวบรวมความแตกต่างเกี่ยวกับหน้าที่ดังกล่าวทั้งสองใน Future Continuous Tense, Future Simple Tense และ Near Future Tense ดังนี้

หน้าที่Future Continuous TenseFuture Simple TenseNear Future Tense (be going to- V)
ทำนาย/คาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต– แสดงการกระทำ (ที่คุณคิดว่า) กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต หรือเมื่อมีการกระทำอื่นเกิดขึ้น/ขัดจังหวะ
– แสดงการทำนายเกี่ยวกับอนาคที่เป็นอัตวิสัยโดยไม่มีพื้นฐาน– แสดงการทำนายเกี่ยวกับอนาคตที่มีวัตถุประสงค์ตามข้อเท็จจริง
ตัวอย่าง 1The kids will be playing at the beach this time next Saturday.

(เด็กๆ จะกำลังเล่นที่ชายหาดในเวลานี้ในวันเสาร์หน้า)
I think she will become the next manager. 

(ฉันคิดว่าเธอจะกลายเป็นผู้จัดการคนต่อไป)
Just look at the sky and you’ll know it’s going to rain. 

(แค่มองฟ้าก็รู้ฝนจะตก)
ตัวอย่าง 2They will be reading the contract when you enter the meeting room. 

(พวกเขาจะกำลังอ่านสัญญาเมื่อคุณเข้าไปในห้องประชุม) 
We believe our son will succeed in the future. 

(เราเชื่อว่าลูกชายของเราจะประสบความสำเร็จในอนาคต) 
She’s an excellent team leader, and the bosses highly value her contribution. She’s going to be the next manager.

(เธอเป็นหัวหน้าทีมที่ยอดเยี่ยม และเจ้านายก็ชื่นชมผลงานของเธอ เธอจะเป็นผู้จัดการคนใหม่)
ตัดสินใจ/วางแผนสำหรับอนาคต– การตัดสินใจ/ความตั้งใจ/แผนการสำหรับอนาคตเกิดขึ้นหลังจากการคิดในช่วงเวลาหนึ่ง มีระดับความแน่นอนสูง และมักจะมาพร้อมกับเวลาที่กำหนด (เช่นเดียวกับ Near Future Tense)

– หากจำเป็นต้องค้นหาความแตกต่างกับ Near Future Tense, Future Continuous Tense จะมีความแน่นอนสูงกว่า และใกล้ปัจจุบันมากกว่า
– การตัดสินใจเกิดขึ้นในขณะที่พูดโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมากนัก

– การตัดสินใจที่มีความแน่นอนน้อยที่จะเกิดขึ้น ยังคลุมเครือ ไม่มีแผนการดำเนินงานและเวลาที่ชัดเจน
– การตัดสินใจ/ความตั้งใจ/แผนการสำหรับอนาคตเกิดขึ้นหลังจากการคิดในช่วงเวลาหนึ่ง มีระดับความแน่นอนสูง และมักจะมาพร้อมกับเวลาที่กำหนด (เช่นเดียวกับ Future Continuous Tense)

– หากจำเป็นต้องค้นหาความแตกต่างกับ Near Future Tense, Future Continuous Tense จะมีความแน่นอนน้อยกว่า และไกลปัจจุบันมากกว่า
ตัวอย่างMy parents will be travelling in Phuket this weekend.

(พ่อแม่ของฉันจะ/วางแผนที่จะท่องเที่ยวในภูเก็ตในสุดสัปดาห์นี้)      
1. This cookie is so delicious. I’ll take 3 boxes.

(คุกกี้นี้อร่อยมาก ฉันจะเอา 3 กล่อง)  

2. I will become a singer when I grow up. 

(ฉันจะเป็นนักร้องเมื่อฉันโตขึ้น) 
ตัวอย่าง: My parents are going to buy a house next month.

(พ่อแม่ของฉันกำลังจะซื้อบ้านในเดือนหน้า)  

แบบฝึกหัดเกี่ยวกับ Future Continuous Tense

แบบฝึกหัดที่ 1: ผันคำกริยาในวงเล็บลงใน Future Continuous Tense ให้ถูกต้อง

1. When I get home, my husband__________________ (prepare) dinner.

2. When she gets off that plane, her family__________________ (waiting) for her at the airport and her boyfriend__________________ (drive) from work to the airport. 

3. Our parents __________________ (sit) on a plane to Thailand at this time this Friday.  

4. Our team__________________ (compete) this Sunday. 

5. Sarah__________________ (not sing) when we get to the karaoke bar. She doesn’t like singing. 

6. At 7 tomorrow evening, we __________________ (have) dinner at a cozy restaurant.   

7. When you call him, he________ surely__________ (not do) homework. He’s not that hard- working.  

คำตอบ:

1. will be preparing

2. will be waiting- will be driving

3. will be sitting 

4. will be competing

5. won’t be singing

6. will be having

7. will surely not doing

คนวัยทำงานยังเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างดี

แบบฝึกหัดที่ 2: จัดเรียงคำด้านล่างเพื่อสร้างประโยคที่ถูกต้อง

1. 6pm/ will be doing/ we/ at / tomorrow/ housework/ .

2. won’t be cooking/ when/ he/ we/ dinner/ knock on his door/ .

3. at the end of/ Susan/ her country/ this month/ will be leaving/ .

4. will be relaxing/ will be working/ at this time next week/ , / , / they/ I/ .

5. our baby/ when / won’t be sleeping/ get home/ we/ .

คำตอบ:

1. We will be doing housework at 6pm tomorrow. 

2. He won’t be cooking dinner when we knock on his door.  

3. Susan will be leaving her country at the end of this month.  

4. At this time next week, they/ I will be working, and I/ they will be relaxing.  

5. Our baby won’t be sleeping when we get home.  

แพ็กเกจเรียน ELSA Premium
banner (compare free vs pro)

แบบฝึกหัดที่ 3: แต่ละประโยคด้านล่างมีข้อผิดพลาด 1 ข้อ โปรดค้นหาและแก้ไขให้ถูกต้อง

1. I think she will dancing when we get there.  

2. Our parents will fly to London tomorrow. 

3. That lazy worker won’t working when we arrive at the factory.   

4. I think they still be writing that report at 3 this afternoon.  

5. That active girl won’t be sit when we get to the event. 

คำตอบ:

1. will dancing→ will be dancing

2. will fly → will be flying

3. won’t working → won’t be working

4. still be writing → will still be writing

5. won’t be sit → won’t be sitting

แบบฝึกหัดที่ 4: ผันคำกริยาในวงเล็บลงใน Future Continuous Tense หรือ Future Simple Tense ให้ถูกต้อง

1. This sofa is very comfortable. We__________________ (buy) it.

2. My sister__________________ (visit) her boyfriend’s family this weekend. She has planned this for months.  

3. I don’t think that lazy employee__________________ (prepare) for the meeting when we get to the company. 

4. It’s okay. I__________________ (will) clean that. 

5. When I grow up__________________ (travel) around the world. 

คำตอบ:

1. will buy (การตัดสินใจในขณะที่พูด)

2. will be visiting (แผนการในอนาคตอย่างแน่นอน)

3. will be preparing (คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต)

4. will clean (การตัดสินใจในขณะที่พูด / สัญญา)

5. will travel (แผนการในอนาคตที่คลุมเครือไม่แน่นอน)

แบบฝึกหัดที่ 5: ผันคำกริยาในวงเล็บลงใน Future Continuous Tense หรือ Near Future Tense ให้ถูกต้อง

1. We__________________ (leave) HCM City tomorrow

2. My sister__________________ (visit) her boyfriend’s family this summer. (It’s still February.)

3. Look! Those dogs__________________ (catch) your cat. 

4. Darcy and June__________________ (not go) camping tomorrow. They have canceled the plan.  

5. We think that our daughter__________________ (do) homework when we get home tonight.  

คำตอบ:

1. will be leaving (แผนงานที่ใกล้ปัจจุบันกว่า)

2. is going to visit (แผนงานที่ไกลปัจจุบันกว่า) 

3. are going to catch (คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีพื้นฐาน)

4. won’t be going (แผนงานที่ใกล้ปัจจุบันกว่า)

5. will be doing (ทำนายสิ่งที่จะกำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต)

แบบฝึกหัดที่ 6: จับคู่แต่ละคำในคอลัมน์ A กับคำที่เหมาะสมในคอลัมน์ B

AB
1. Sarah will be singing happily 
2. I don’t think those active kids
3. They will be working, and we’ll be relaxing
4. I think they’ll still be cleaning the house at 3pm.
5. She won’t be cooking when we knock on her door. 
A. at the beach at this time next Saturday. 
B. Our plan is to eat out. 
C. when we get to the karaoke bar.  
D. will be sitting still when we pick them up at the playground  
E. It’s very messy. 

คำตอบ:

1. C ─ 2. D ─ 3. A ─ 4. E ─ 5. B

แบบฝึกหัดที่ 7: ใช้ Future Continuous Tense เพื่อเติมประโยคด้านล่าง

1. At this time this weekend, my best friend and I…

2. My family and I… at 7:30 this evening.  

3. I think my boss… at 10 tomorrow morning. 

4. I… still… 

5. When my boss enters the office tomorrow, I…

คำตอบ:

ประโยคเหล่านี้เป็นประโยคปลายเปิด ขึ้นอยู่กับความคิดของคุณเอง ดังนั้นคำตอบด้านล่างมีไว้สำหรับอ้างอิงเท่านั้น และเพื่อให้คุณเห็นวิธีการใช้ Future Continuous Tense

1. At this time this weekend, my best friend and I will be chatting at a coffee shop.

2. My family and I will be having dinner at 7:30 this evening.  

3. I think my boss will be talking to a client at 10 tomorrow morning. 

4. I will still be working at 9 tonight

5. When my boss enters the office tomorrow, I will be typing a document. 

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ และหลักการใช้งานในภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น เมื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง Future Continuous Tense จะช่วยให้ประโยคมีความแม่นยำและสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน ขอให้เรียนดีๆนะ!

เรียนภาษาอังกฤษด้วยแอป ELSA Speak ดีหรือไม่
สัญญาณการรับรู้ Future Continuous Tense

1. when + อนุประโยค (clause) ก็ใช้ Present Simple Tense
2. (at) this time/ moment + ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต: (at) this time tomorrow, (at) this moment next weekend,…
3. at + ชั่วโมงที่เฉพาะ + ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต: at 7pm tomorrow, at 9:15 tomorrow morning,…

CV เป็นภาษาอังกฤษกำลังจะกลายเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำในกระบวนการสรรหาบุคลากรของบริษัทข้ามชาติ วันนี้ ELSA Speak จะแนะนำวิธี การเขียน ตัวอย่าง CV ภาษาอังกฤษ อย่างมืออาชีพและสร้างความประทับใจให้กับนายจ้าง มาดูบทความต่อไปนี้กัน!

เรซูเม่ในภาษาอังกฤษคืออะไร

Curriculum vitae หรือเรียกสั้น ๆ ว่า CV 

ตัวอย่าง 

Curriculum vitae is used in job interviews and most international companies expected in having excellent curriculum vitaes. (เรซูเม่ถูกใช้ในการสัมภาษณ์งาน และบริษัทต่างชาติส่วนใหญ่จะประทับใจกับเรซูเม่ที่ดีที่สุด)

ทําไมต้องเขียน CV เป็นภาษาอังกฤษ

การเขียน CV ภาษาอังกฤษ ไม่เพียงแต่เป็นข้อกำหนดทั่วไปในบริษัทต่างชาติเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้สมัครได้แสดงทักษะภาษาต่างประเทศ ความคิดเชิงวิชาชีพ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดแรงงาน ต่อไปนี้คือเหตุผลเฉพาะที่คุณควรพิจารณา:

วิธีเขียน CV เป็นภาษาอังกฤษอย่างมืออาชีพ

เพื่อสามารถเขียน CV ภาษาอังกฤษ อย่างมืออาชีพ คุณจำเป็นต้องนำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจน กระชับ และเน้นจุดเด่น เพื่อช่วยให้นายจ้างประเมินความสามารถของคุณได้อย่างรวดเร็ว ด้านล่างนี้คือส่วนพื้นฐานที่ควรมีใน CV มาตรฐาน:

ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information)

เมื่อเขียนเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนข้อมูลส่วนตัวควรเขียนให้กระชับ ชัดเจน และเน้นรายละเอียดสำคัญ เพื่อให้นายจ้างสามารถติดต่อคุณได้ง่าย หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป และอย่าใช้รูปเซลฟี่ แต่ควรเลือกรูปถ่ายที่ชัดเจน เป็นทางการ และแสดงถึงบุคลิกที่เป็นมืออาชีพ ที่อยู่อีเมลควรเป็นแบบมืออาชีพ หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเล่นที่ไม่เหมาะสม

ข้อมูลพื้นฐานควรมี:

ข้อควรรู้เพิ่มเติม:

ประวัติการศึกษา (Educational Background)

หมายเหตุ:

หรือ:

ปริญญา (ปริญญาตรี/โท/…) และวิชาเอก ⟶ โรงเรียน – ปี ⟶ วิชาการและเกรดเฉลี่ย (ไม่บังคับ)

ตัวอย่าง:

University of Finance and Marketing – 2013-2017

Bachelor of Accounting

Distinction – GPA: 8.3

⟶ มหาวิทยาลัยการเงินและการตลาด – 2556-2560

บัญชีบัณฑิต

+ Master of International Business

University of Economics – 2016-2020

⟶ ปริญญาโทสาขาธุรกิจระหว่างประเทศ

มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ – 2559-2563

เป้าหมายในอาชีพ (Career Goal)

โครงสร้างบางอย่างที่จะสื่อเกี่ยวกับเป้าหมายในอาชีพ:

I always aim at + noun (phrase)/ V-ing.

(ฉันเล็งไปที่ + (วลี) คำนาม/ V-ing เสมอ)

I always strive to + verb (bare infinitive) + …

(ฉันมักจะพยายาม + กริยา (bare infinitive) + …)

Noun (phrase)/ V-ing has always been my most significant/ultimate goal.

((วลี) คำนาม/V-ing เป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุด/สุดท้ายของฉันเสมอมา)

I aspire to + verb (bare infinitive) + …

(ฉันปรารถนาอย่างมาก + กริยา (bare infinitive) + …)

My short/ long-term goal(s) is/ are + noun (phrase)/ V-ing.

(เป้าหมายระยะสั้น/ยาวของฉันคือ + คำนาม (วลี)/ V-ing)

ย่อหน้าตัวอย่างบางส่วนเกี่ยวกับเป้าหมายในอาชีพ:

ย่อหน้าที่ 1:

Considering Marketing my great passion, I always aim to bring value to the brands I work with as well as unceasingly develop myself. Additionally, becoming an SEO Executive has always been one of the important goals that I have been striving to achieve.

(เมื่อพิจารณาว่า Marketing เป็นความหลงใหลที่ยิ่งใหญ่ ฉันมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ที่ฉันทำงานด้วยและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ นอกจากนี้ การเป็น SEO Executive ยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ฉันพยายามทำให้สำเร็จมาโดยตลอด)

ย่อหน้าที่ 2:

As an avid and responsible financial accountant, I always strive to do my best in every single task to give the BOD precise and transparent information about the company’s financial status. Besides, my long-term goal is to become a Senior Account within 2 years.

(ในฐานะนักบัญชีการเงินที่กระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบ ฉันพยายามทำให้ดีที่สุดในทุกงานเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบริษัทแก่ BOD นอกจากนี้ เป้าหมายระยะยาวของฉันคือการเป็นบัญชีอาวุโสภายใน 2 ปี)

ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience)

ตามที่ ELSA Speak กล่าวไว้ในส่วน 1.1 เมื่อพูดถึงประสบการณ์การทำงานในอดีต ขอแนะนำให้ใช้วลีที่ขึ้นต้นด้วย V-ed/V2

ประสบการณ์การทำงานในปัจจุบัน ควรแสดงด้วยวลีที่ขึ้นต้นด้วย V bare

วลีทั่วไปเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงาน:

ทักษะวิชาชีพและทักษะอ่อน (Professional Skills and Soft Skills)

หมายเหตุ:

ตัวอย่างวลีเกี่ยวกับทักษะวิชาชีพ:

วลีตัวอย่างบางส่วนเกี่ยวกับทักษะอ่อน:

ทักษะวิชาชีพและทักษะอ่อน (Professional Skills and Soft Skills)

>>> ดูเพิ่มเติม:

ตัวอย่าง:

Professional Skills: (ทักษะวิชาชีพ)

attention to detail, error-spotting skills and data analysis skills.

(ใส่ใจในรายละเอียด ทักษะการตรวจจับข้อผิดพลาด และการวิเคราะห์ข้อมูล)

Soft Skills: (ทักษะอ่อน)

goal-setting skills and willingness to learn

(ทักษะการตั้งเป้าหมายและเต็มใจที่จะเรียนรู้)

ความสำเร็จและใบรับรอง (Achievements and Certificates)

หมายเหตุ:

ตัวอย่าง:

กิจกรรมสังคม (Social Activities)

หมายเหตุ: ส่วนนี้มีเนื้อหาสั้นๆ ดังนั้นจึงไม่มีประเด็นที่ต้องสังเกตมากนัก คุณเพียงแค่ต้องปฏิบัติตามโครงร่างต่อไปนี้: ชื่อโปรแกรม/กิจกรรม – เวลาเข้าร่วม -> ตำแหน่ง/งานที่คุณรับทำ

ตัวอย่าง:

คู่มือนี้จะพาคุณเรียนรู้วิธี แนะนําตัวภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์งาน อย่างมั่นใจและเป็นมืออาชีพ

วิธีแนะนําตัวภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์งานให้สร้างความประทับใจตั้งแต่แรก

ข้อผิดพลาดในการเขียน CV เป็นภาษาอังกฤษ

เมื่อเขียนเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษ ผู้สมัครหลายคนแม้จะมีความสามารถที่ดี แต่ก็มักทำผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้โปรไฟล์ของตนเองเสียคะแนนในสายตานายจ้าง ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดทั่วไปที่คุณควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้เรซูเม่ของคุณดูเป็นมืออาชีพและน่าประทับใจยิ่งขึ้น:

เคล็ดลับช่วยเรซูเม่ภาษาอังกฤษสร้างความประทับใจให้นายจ้าง

ใช้ภาพเรซูเม่ระดับมืออาชีพ

การใช้รูปภาพในเรซูเม่ภาษาอังกฤษเป็นวิธีเพิ่มความเป็นมืออาชีพและดึงดูดความสนใจของนายจ้าง เมื่อใช้รูปภาพในเรซูเม่ คุณต้องเลือกภาพที่ดีที่ตรงกับข้อกำหนดของเรซูเม่ และควรวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น คุณควรวางรูปภาพของคุณอยู่ด้านขวาของเรซูเม่ เพื้อสร้างความสมดุลและดึงดูดความสนใจของผู้ชม

หมายเหตุอื่นๆ เมื่อใช้รูปภาพในเรซูเม่มีดังนี้

หลีกเลี่ยงการใช้สรรพนามบุรุษที่ 1

เมื่อเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษ การใช้คำศัพท์เฉพาะทาง เช่น utilize comprise literally it’s its awesome และ impact สามารถช่วยเพิ่มความเป็นมืออาชีพของเรซูเม่ของคุณ อย่างไรก็ตาม คุณควรจำกัดการใช้คำสรรพนามที่มากเกินไป เช่น I และ my เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความเป็นมืออาชีพของเรซูเม่ลดลง

ในขณะเดียวกัน คุณควรใช้คำศัพท์และวลีที่ถูกต้องและสอดคล้องกับบริบท ต้องแน่ใจว่าเรซูเม่ของคุณมีความยาวที่เหมาะสมและควรเน้นการเขียนทักษะและความสำเร็จอันสำคัญที่สุดของคุณ

หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการสะกดคำและไวยากรณ์

ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ผู้คนมักทำเมื่อเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษ คือ การสะกดคำหรือไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง สาเหตุมักเกิดจากทักษะภาษาอังกฤษยังไม่ดีหรือประมาทในการใช้คำศัพท์และไวยากรณ์

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ คุณควรตรวจสอบเรซูเม่ของคุณอีกครั้งก่อนที่จะส่งไป คุณสามารถใช้เครื่องมือตรวจสอบการสะกดคำและไวยากรณ์ออนไลน์หรือให้ผู้อื่นตรวจทานเพื่อค้นหาข้อผิดพลาดและแก้ไขได้

อ้างอิงใบรับรองโดยเฉพาะ 

เพื่อเพิ่มความโน้มน้าวใจและส่งเสริมความสามารถของคุณในเรซูเม่ภาษาอังกฤษ การที่อ้างอิงหลักฐานเฉพาะเกี่ยวกับใบรับรอง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่ออ้างถึงใบรับรอง คุณควรให้ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับใบรับรองนั้น รวมถึงชื่อ ที่ออก เวลาออก และอธิบายเนื้อหาและขอบเขตของใบรับรองนั้น 

เมื่ออ้างถึงวุฒิการศึกษา คุณก็ควรให้ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับวุฒิการศึกษานั้น รวมถึง ชื่อวุฒิการศึกษา ชื่อโรงเรียนที่ฝึกอบรม เวลาสำเร็จการศึกษา และอธิบายเนื้อหาและขอบเขตของโปรแกรมการศึกษานั้น

ตัวอย่าง 

Bachelor’s Degree in Business Administration, University of Southern California, completed in May 2021. The program provides comprehensive knowledge and skills in business management, including accounting, finance, marketing, and human resources. 

คำแปล 

ปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ University of Southern California เสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2564 โปรแกรมนี้ให้ความรู้และทักษะที่ครอบคลุมในการจัดการธุรกิจ รวมถึง การบัญชี การเงิน การตลาดและทรัพยากรมนุษย์

นำเสนอเรซูเม่อย่างกระชับและมีเหตุผล

เมื่อเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษ การนำเสนอข้อมูลอย่างกระชับและมีเหตุผลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งจะช่วยให้นายจ้างเข้าใจความสามารถและประสบการณ์ของคุณได้ดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้นที่สุด หมายเหตุบางประการที่ควรคำนึงถึงในการนำเสนอเรซูเม่ที่กระชับและสมเหตุสมผลมีดังนี้

เลือกข้อมูลที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดเพื่อเขียนไว้ในเรซูเม่

จัดเรียงข้อมูลในเรซูเม่ตามลำดับที่สำคัญและสมเหตุสมผล เริ่มจากข้อมูลที่สำคัญที่สุดไปจนถึงข้อมูลที่สำคัญรองลงมา

เขียนประโยคที่สั้นและเรียบง่าย หลีกเลี่ยงการเขียนประโยคที่ยาวและซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้นายจ้างเข้าใจข้อมูลของคุณได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วและง่ายดาย 

ใช้คำศัพท์และวลีที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของคุณและตำแหน่งที่คุณสมัคร

ตรวจสอบการสะกดคำและไวยากรณ์อย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด

เลือกเทมเพลต เรซูเม่ ที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่สมัคร 

เมื่อเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษ การเลือกเทมเพลตเรซูเม่ที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการสร้างความประทับใจที่ดีต่อนายจ้าง ดังนั้น ก่อนที่จะเขียนเรซูเม่ คุณต้องเรียนรู้เกี่ยวกับตำแหน่งงานที่สมัครอย่างรอบคอบ เพื่อทราบข้อกำหนดและความต้องการของนายจ้าง จากนั้น เลือกเทมเพลตเรซูเม่ที่เหมาะกับเกณฑ์การประเมินของนายจ้าง

ในขณะเดียวกัน การเลือกเทมเพลตเรซูเม่ที่เหมาะสมจะทำให้นายจ้างชื่นชมความเป็นมืออาชีพของคุณมากขึ้น

หลีกเลี่ยงการเขียนไอคอนยิ้มในเรซูเม่ 

เมื่อเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษ คุณต้องหลีกเลี่ยงการเขียนวลีหรือไอคอนยิ้ม เช่น 🙂 หรือ 😀 การเขียนไอคอนเหล่านี้สามารถลดความเป็นมืออาชีพของเรซูเม่และขาดความจริงจังต่อนายจ้าง 

คุณควรเขียนคำและวลีที่เป็นมืออาชีพและทรงพลัง ซึ่งแสดงถึงความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานของคุณ

ความแตกต่างระหว่าง CV และ เรซูเม่

โดยพื้นฐานแล้ว CV และ เรซูเม่ เป็นเอกสารสองฉบับที่สรุปประสบการณ์การทำงานและประวัติการศึกษาของบุคคล อย่างไรก็ตาม เอกสารสองประเภทนี้มีความแตกต่างดังนี้ 

CVResume
ความยาวโดยทั่วไปจะมีความยาวมากกว่าเรซูเม่และมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานและประวัติการศึกษาของผู้สมัครโดยทั่วไปจะกระชับมากกว่าและเน้นการเขียนประสบการณ์การทำงานและทักษะที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งที่สมัครเท่านั้น 
จุดประสงค์ในการใช้ใช้ในการสมัครงานวิจัย การสอน หรือตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับราชการใช้เมื่อสมัครงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การตลาด เทคโนโลยีสารสนเทศ และอุตสาหกรรมอื่นๆ 
โครงสร้างตามลำดับเวลาย้อนกลับ (จากประสบการณ์ล่าสุดถึงประสบการณ์เก่ากว่า) ตามลำดับเวลา (จากประสบการณ์เก่าไปสู่ประสบการณ์ใหม่)
เนื้อหา เขียนประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานโดยรายละเอียดมากกว่า รวมถึงข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งงานที่สมัครเน้นการเขียนทักษะและประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งงานที่สมัคร

นอกจากนี้ เรซูเม่ และ cover letter ยังเป็นสองแนวคิดที่ผู้คนมักจะสับสนกัน 

ตัวอย่าง CV ภาษาอังกฤษ อย่างมืออาชีพ

ตัวอย่าง CV สมัครงาน ภาษาอังกฤษที่ 1:

ตัวอย่าง CV เป็นภาษาอังกฤษอย่างมืออาชีพ

CV ตัวอย่าง ภาษาอังกฤษที่ 2:

ตัวอย่าง CV เป็นภาษาอังกฤษอย่างมืออาชีพ

วลีที่พบบ่อยในเรซูเม่ ภาษาอังกฤษ

วลีความหมาย 
Full nameเขียนชื่อเต็มของผู้สมัคร
Addressที่อยู่ในปัจจุบัน
Date of Birthวันเกิด 
Place of birthถิ่นที่กำเนิด
Mobile phoneเบอร์โทรศัพท์ 
Career Objectiveเป้าหมายในการทำงาน 
The types of qualifications you currently haveประเภทของคุณสมบัติที่คุณมีในปัจจุบัน
Work experienceประสบการณ์ในการทำงาน
Personal preferenceงานอดิเรก
My main skill isทักษะหลักของผู้สมัคร
Applicantผู้สมัคร 

>>> อ่านเพิ่มเติม:

สำศัพท์ที่พบบ่อยในเรซูเม่ ภาษาอังกฤษ

คำศัพท์ ความหมาย 
Accurateถูกต้อง 
Adaptableปรับตัว 
Confidentมั่นใจ
Hard-workingทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร 
Innovativeสร้างสรรค์
Pro-activeเชิงรุก 
Reliableน่าเชื่อถือ
Responsibleความรับผิดชอบ 
Achievedสำเร็จ
Formulatedสูตร 
Plannedมีการวางแผน 
Generatedสร้างขึ้น
Managedได้จัดการ
Representedผู้แทน 
Completedทำเสร็จเรียบร้อย
Implementedทำให้สำเร็จ
Enhanceเพิ่มพูน
Mediateไกล่เกลี่ย
Adaptปรับ
Streamlineปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพขึ้น
Reduceลดลง
Attainสำเร็จ 
Buildสร้าง
Collaborateร่วมมือ
Solveแก้ปัญหา 
Proveพิสูจน์
Createสร้างขึ้น 
Secureมั่นใจ
Organizeจัด
Improveปรับปรุง 
Demonstrateพิสูจน์ 
Expressแสดงออก 
Influenceอิทธิพล
Presentปัจจุบัน 
Moderateปานกลาง
Negotiateเจรจา
Informประกาศ
Manageบริหาร 
Administerบริการงาน
Developพัฒนา 
Leadผู้นำ 
Overseeคุมงาน
Reviewทบทวน
Designการออกแบบ
Visualiseทำให้มองเห็น 
Shapeรูปร่าง
Conceptualiseนิยาม 
Instituteสถาบัน
Brainstormการระดมความคิด

บทความข้างต้นได้แบ่งปันโครงสร้างของ CV ภาษาอังกฤษ และเคล็ดลับในการเขียนเรซูเม่ ตัวอย่าง CV ภาษาอังกฤษเพื่อช่วยพิชิตนายจ้าง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้รับโอกาสในการทำงานที่ดี ติตตาม ELSA Speak เพื่ออัปเดตความรู้และคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ ๆ ทุกวันนะ

Modal verb เป็นความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่สำคัญที่ช่วยแสดงความสามารถ หน้าที่ การทำนาย และคำแนะนำในประโยค มาเรียนรู้เรื่อง Modal Verb คืออะไร? Modal Verb มีอะไรบ้าง และจะใช้อย่างไรให้ถูกต้องกับ ELSA Speak กัน

Modal verb คือ? 

Modal verb หรือเรียกว่า กริยาช่วย ใช้เป็นกริยาช่วยในประโยค กริยาประเภทนี้ช่วยเสริมความหมายกริยาหลักเพื่อแสดง:

ตัวอย่าง:

modal verb mindmap

>>> Read more: Gerund and infinitive – หลักการใช้และแบบฝึกหัด

ลักษณะของ Modal Verb

Modal verb มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องในประโยค คำเหล่านี้มักจะเสริมความหมายกริยาหลัก ไม่เปลี่ยนรูปตามกาลหรือประธาน และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางประการ:

ตัวอย่าง: I can swim. – ฉันสามารถว่ายน้ำได้

 ตัวอย่าง: She must go to school. – เธอต้องไปโรงเรียน

 ตัวอย่าง: He can play football. – เขาสามารถเล่นฟุตบอลได้

 ตัวอย่าง: They should study harder. – พวกเขาควรขยันเรียนกว่านี้

ตัวอย่าง: I will help you tomorrow. – ฉันจะช่วยคุณพรุ่งนี้

Modal Verb มีอะไรบ้าง จำแนกตามหน้าที่

กลุ่มหน้าที่ความหมายmodal verb ที่ใช้บ่อย
ความสามารถ (Ability)แสดงถึงความสามารถหรือศักยภาพของประธานในการดำเนินการบางอย่างcan, could, be able to
คำแนะนำ (Advice)ใช้เพื่อให้คำแนะนำหรือแนะนำสิ่งที่ควรทำshould, ought to
การบังคับ/ความจำเป็น (Obligation/ Necessity)แสดงถึงความจำเป็นหรือสิ่งที่ต้องทำmust, need (กริยาช่วยกึ่ง modal)
ความเป็นไปได้ (Possibility)แสดงถึงความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์อาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยเชิงวัตถุcan, could, may, might
4 ประเภทหลักๆ Modal Verb

วิธีใช้ Modal Verb

Can/Could/Could have

modal verb - can
Modal Verbวิธีใช้ตัวอย่าง
Can พูดถึงพรสวรรค์ ความสามารถ ทักษะ ฯลฯ ของผู้คนที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
พูดถึงความสามารถหรือไม่สามารถทำอะไรได้ในปัจจุบันซึ่งถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอก
– แนะนำให้ทำอะไร หรือแนะนำให้ใครทำอะไร
– ใช้ในประโยคคำถาม Yes- No เพื่อขอความช่วยเหลือหรือขออนุญาตอย่างเป็นมิตร ใกล้ชิด และไม่เป็นทางการ.
I can’t become a singer. (ฉันไม่สามารถเป็นนักร้องได้)
It’s raining hard outside. We can’t go to the zoo now. (ข้างนอกฝนตกหนัก พวกเราไม่สามารถไปสวนสัตว์ได้ในตอนนี้)
If you want to lose weight, you can go to the gym. (หากคุณต้องการลดน้ำหนัก คุณสามารถไปที่โรงยิม)
– Lily, can you pass me the salt? (ลิลลี่ คุณช่วยส่งเกลือให้ฉันหน่อยได้ไหม)
Could– พูดถึงพรสวรรค์ ความสามารถ ทักษะ ฯลฯ ของผู้นในอดีตแต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว หรือในทางกลับกัน ปัจจุบันมี แต่อดีตไม่มี.
– พูดถึงความสามารถหรือไม่สามารถทำอะไรได้ในอดีต ซึ่งถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอก แต่ปัจจุบันแตกต่างออกไปแล้ว.
– ใช้ในประโยคคำถาม Yes-No เพื่อขออนุญาตทำบางสิ่ง (โดยปกติแล้วสิ่งที่เราถือว่าใหญ่/สำคัญ/…) อย่างเป็นทางการและสุภาพ.
– ในการขออนุญาตอย่างเป็นกันเองและเป็นทางการน้อยกว่า เราใช้ ‘can’.
– เพื่อให้เป็นทางการมากกว่า ‘could’ เราสามารถใช้ ‘may’.
– ใช้ในประโยคคำถาม Yes-No เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ โดยมักจะใช้ร่วมกับ please เพื่อเน้นความเร่งด่วน.
– When I was young, I could calculate very fast. ( เมื่อฉันยังเด็ก ฉันสามารถคิดเลขเร็วมาก)
– When we first moved here, we could use the washing machine for free, but now, the landlord doesn’t let us do that. (เมื่อก่อนพวกเราย้ายมาที่นี่มี เครื่องซักผ้าให้ใช้ฟรี แต่ตอนนี้ เจ้าของบ้านไม่ให้พวกเราทำแบบนั้นแล้ว)
Could we borrow your laptop? ( เราขอยืมแล็ปท็อปของคุณได้ไหม)
Could we delay this meeting? ( เราขอชะลอการประชุมนี้ได้ไหม)
Could you please send me that client’s contact information? (คุณช่วยส่งข้อมูลติดต่อของลูกค้ารายนั้นให้ฉันได้ไหม)
Could have + V3– แสดงถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นแต่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง- แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ในอดีต– She could have won the race, but she fell. (เธอสามารถชนะการแข่งขันได้แต่เธอกลับล้มลง)
– I could have studied harder for the exam.(ฉันควรขยันเรียนกว่านี้เพื่อเตรียมสอบ)
could
คุณแยก have has ใช้ยังไง ได้หรือยัง? มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ have และ has ในบทความต่อไปนี้ เพื่อเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งาน โครงสร้าง และแบบฝึกหัดเพิ่มเติม

Should/Ought to/Should have

modal verb - shall
Modal Verbวิธีใช้ตัวอย่าง (ความหมาย)
Should– ใช้เพื่อแนะนำผู้คนว่าควร/ไม่ควรทำอะไร.
– เหมือนกับวิธีการใช้ที่ 1 แต่ใช้ตามหลัง ‘I think’ หรือ ‘I don’t think’ เพื่อเน้นการแสดงความคิดเห็น.
– หมายเหตุ:เราแค่พูดว่า ‘I don’t think + S + should…’เราไม่พูดว่า ‘I think + S + shouldn’t…’
– If you want to earn lots of money, you should work hard. (ถ้าคุณอยากได้เงินมาก คุณควรทำงานอย่างขยัน)
– We don’t think they should use that old car. (เราไม่คิดว่าพวกเขาควรใช้รถเก่านั้น)
⟶ DON’T say: We think they shouldn’t use that old car.
Ought to– เช่นเดียวกับ ‘should’, ‘ought to’ ใช้เพื่อแนะนำผู้คนว่าควร/ไม่ควรทำอะไร.
– แต่ว่า ‘ought to’ เป็นทางการมากกว่า.
– ในขณะเดียวกัน ‘should’ หมายถึงคำแนะนำที่ได้รับจากความเห็นส่วนตัวของผู้พูดและมักจะเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วน ‘ought to’ หมายถึงคำแนะนำที่ได้รับจากความเห็นทั่วไปของคนส่วนใหญ่ในสังคม.
– A child ought to take care of their parents when they are old. (ลูกๆควรดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า).
– You ought not to disrespect others. (คุณไม่ควรดูหมิ่นผู้อื่น)
Should have + V3– แสดงถึงสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำ
– แสดงความเสียใจหรือวิพากษ์วิจารณ์ในอดีต
– You should have studied harder. (คุณควรจะขยันเรียนกว่านี้)
– He should have called her earlier. (เขาควรโทรหาเธอเร็วกว่านี้)
modal verb - should

>>> Read more:

Must/Need/Must have

 must
Modal Verbวิธีใช้ตัวอย่าง (ความหมาย)
Mustใช้ must เพื่อแสดงการกระทำในปัจจุบัน ที่อยู่ในความคิดและจำเป็นมาก จำเป็นต้องทำ
– ใช้ must เพื่อแสดงข้อความที่ผู้พูดคิดว่า มีความถูกต้องสูงในปัจจุบัน เทียบเท่ากับวลี “คงจะ” หรือ “แน่นอนคือ”
– ใช้ must เพื่อแสดงว่า มีคนถูกบังคับให้ทำบางอย่างเนื่องจากเป็นข้อกำหนดในกฎหมายหรือในกฎขององค์กร
– ใช้ mustn’t เพื่อแสดงว่า มีคนถูกห้ามไม่ให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นข้อกำหนดในกฎหมายหรือในกฎขององค์กร
– Oh, it’s almost 5pm. I must go now. (โอ้ เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ฉันต้องไปตอนนี้)
วิเคราะห์: ที่อยู่ในความคิดและมันจำเป็น ไม่มีใครบังคับ
–  She worked very hard this afternoon. Now, she must be tired. (เธอทำงานหนักมากในบ่ายวันนี้ ตอนนี้เธอคงจะเหนื่อย)
– Everyone must wear a seatbelt while they are driving. (ทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่)
วิเคราะห์: นี่เป็นข้อบังคับในกฎหมายจราจร
– Everyone mustn’t drive after drinking alcohol. (ทุกคนไม่ได้ขับรถหลังจากดื่มแอลกอฮอล์)
Need (ใช้เหมือน modal verb)– แสดงถึงความจำเป็น (มักใช้ในประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถาม)- มีความหมาย “จำเป็นต้อง”– You need not come if you are busy. (หากคุณยุ่งก็ไม่จำเป็นต้องมา)
Need I finish this today? (ฉันจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ไหม?)
Must have + V3– การคาดเดาว่าบางสิ่งบางอย่างแทบจะแน่นอนว่าจะเกิดขึ้น– He must have left already. (เขาคงจะออกไปแล้ว)
– They must have forgotten your birthday. (พวกเขาคงลืมวันเกิดของคุณแล้ว)

May/Might/Might have

 may
Modal Verbวิธีใช้ตัวอย่าง (ความหมาย)
May– แสดงว่าบางสิ่งอาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรืออนาคตโดยมีความแน่นอนค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 50%).
– ใช้ในประโยคคำถาม Yes-No เพื่อขออนุญาตทำบางสิ่งหรือเสนอให้ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเป็นทางการและสุภาพ (มากกว่า ‘could’).
– She doesn’t look very happy. She may not like the present. (เธอดูไม่ค่อยมีความสุขเลย เธออาจจะไม่ชอบของขวัญก็ได้)
May I help you carry your luggage, madam? (คุณผู้หญิงให้ฉันช่วยถือกระเป๋าไหม?)
Might– แสดงว่าบางสิ่งอาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรืออนาคตโดยมีความแน่นอนค่อนข้างต่ำ ต่ำกว่า may (ประมาณ 30%).– He might like this present. To be honest, I’m not sure because I don’t know him well. ( เขาอาจจะชอบของขวัญชิ้นนี้ พูดตามตรง ฉันก็ไม่แน่ใจเพราะฉันไม่รู้จักเขาดีพอ)
Might have + V3– แสดงถึงความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ไม่แน่นอน- การคาดเดาว่าบางสิ่งบางอย่างอาจเกิดขึ้น– He might have missed the train. (เขาอาจจะพลาดรถไฟ)
– They might have forgotten the meeting. (พวกเขาอาจจะลืมการประชุมไปแล้ว)
might

Will/Would/Would have

modal verb - will
Modal Verbวิธีใช้ตัวอย่าง (ความหมาย)
Will– ‘will’ ใช้ใน Future Simple Tense เพื่อแสดงแบบทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต.
– เฉพาะเจาะจงกว่าการใช้ที่ 1 ‘will’ หรืออีกนัยหนึ่งคือ Present Simple Tense ยังใช้เพื่อแสดงการคาดคะเนเชิงอัตนัยที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต.
– เฉพาะเจาะจงกว่าการใช้ที่ 1 ‘will’ หรืออีกนัยหนึ่งคือ Present Simple Tense ยังใช้เพื่อแสดงการตัดสินใจในขณะที่พูดโดยไม่ต้องคิดในช่วงระยะเวลาหนึ่งมาก่อน.
– การให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำหรือไม่ทำอะไรในอนาคต สามารถใช้ในอนุประโยคที่ 2 หลังจาก ‘I/ We promise (that)’ เพื่อเน้นย้ำว่านี่คือคำสัญญา
– She will come here soon. (เธอจะมาที่นี่ในไม่ช้า)
– I think that employee will become the new manager although I don’t know how she works. ( ฉันคิดว่าพนักงานคนนั้นจะกลายเป็นผู้จัดการคนใหม่ แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเธอทำงานอย่างไร)
–  A customer who is trying juice at a supermarket: ‘This juice tastes good. I will buy it.’ (ลูกค้าคนหนึ่งที่กำลังลองน้ำผลไม้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต: ‘น้ำผลไม้นี้รสชาติดี ฉันจะซื้อมัน’)วิเคราะห์: ลูกค้าชิมน้ำผลไม้แล้วเห็นว่ารสชาติดี จึงตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องคิดในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนพูด
– (I promise) I will love you forever. (ฉันสัญญาว่า) ฉันจะรักเธอตลอดไป
Would– ‘would รวมกับคำกริยา ‘like’ เพื่อแสดงความต้องการบางอย่างหรือทำบางสิ่งบางอย่าง (มีความหมายเหมือนกับ ‘want’ แต่เป็นทางการมากกว่า).
โครงสร้าง:
– would like + noun– would like + to-verb (infinitive)
– ‘would’ รวมกับคำกริยา ‘mind’ ในประโยคคำถาม Yes-No: – ขอให้ใครสักคนทำอะไรซักอย่างโครงสร้าง: Would you mind + v-ing + …+ ?
– ขอให้ทำอะไรโครงสร้าง: Would you mind + if + S + verb(-s/es) + …+ ?
– ‘would’ หรือ ‘wouldn’t’ รวมกับกริยา infinitive เพื่อแสดงว่า ในอดีตหัวเรื่องเคยมีหรือไม่มีนิสัยบางอย่าง.
– ‘would’ หรือ ‘wouldn’t’ ยังปรากฏในอนุประโยคหลักประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ของประโยคเงื่อนไขด้วย.
– Our boss would like to see you now. (เจ้านายของเราต้องการพบคุณในตอนนี้).
Would you mind closing the window? (คุณช่วยปิดหน้าต่างหน่อยได้ไหม?).
– When she was young, she would read books after school. (เมื่อเธอยังเด็ก เธอจะอ่านหนังสือหลังเลิกเรียน)
– If I were you, I wouldn’t buy that expensive watch. (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไม่ซื้อนาฬิกาที่แพงขนาดนั้น)
Would have + V3– ใช้ในประโยคเงื่อนไขประเภทที่ 3 (สิ่งที่ไม่จริงในอดีต)
– อธิบายถึงสิ่งที่วางแผนไว้ในอดีตแต่ไม่ได้เกิดขึ้น
– If I had studied harder, I would have passed the exam. (ถ้าฉันตั้งใจเรียนมากกว่านี้ ฉันคงสอบผ่านแล้ว)
– She would have come to the party, but she was ill. (เธออยากจะมางานปาร์ตี้แต่เธอกลับป่วย)
 would

>>> Read more:

สูตรของ Modal Verb

สูตรทั่วไป

แม้ว่า Modal Verb แต่ละอันจะมีความหมายของตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วแต่ละอันจะมีโครงสร้างพื้นฐาน:

S + Modal Verb + V-inf + (O)

ตัวอย่าง: She can play the piano. (เธอเล่นเปียโนได้)

S + Modal Verb + not + V-inf + (O)

ตัวอย่าง: They should not eat too much fast food. (พวกเขาไม่ควรทานอาหารจานด่วนมากเกินไป)

Modal Verb + S + V-inf + (O)?

ตัวอย่าง: Can you help me? (คุณสามารถช่วยฉันได้ไหม?)

สูตร Passive voice (ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ)

เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive voice Modal Verb ยังคงเหมือนเดิม เพียงเพิ่ม be + V3/ed ตามหลัง:

S + Modal Verb + be + V3/ed (+ by O)

ตัวอย่าง:

>>> Read more:

ความแตกต่างระหว่างกริยาช่วยและกริยาปกติ

เกณฑ์กริยาช่วย (Modal Verb)กริยาปกติ (Main Verb)
หน้าที่เสริมความหมายกริยาหลักเพื่อแสดงความสามารถ ภาระหน้าที่ การทำนาย คำแนะนำ…แสดงถึงการกระทำหรือสถานะของประธานโดยตรง
รูปแบบที่ตามมาไปกับกริยาปกติไม่มี “to” เสมอ (ยกเว้น ought to).สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ: V(s/es), V-ed, V-ing, to V…
การเปลี่ยนแปลงตามกาลไม่เปลี่ยนตามกาล (ไม่เพิ่ม -s, -ed, -ing).เปลี่ยนแปลงไปตามกาลและประธาน (work → works, worked, working…).
บุคคลที่สามเอกพจน์เหมือนเดิม (He can, She must).เพิ่ม -s/-es (He works, She goes).
คำปฏิเสธ & คำถามใช้โดยตรงกับ “not” และประโยคย้อนกลับ (She cannot swim / Can she swim?).ต้องมีกริยาช่วย do/does/did (She does not swim / Does she swim?).

ข้อสังเกตเมื่อใช้ Modal Verb

Can – Be able to 

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
Can: สามารถทำอะไรบางอย่างได้ใช้ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้เป็นหลัก– Kelvin, can you please open the door for me? (เคลวิน คุณสามารถเปิดประตูให้ฉันได้ไหม?)
– Kelvin can cook! (เคลวินสามารถทำอาหารได้!)
– มักใช้ในการพูดถึงความสามารถโดยทั่วไปว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
– มักใช้ในการถามเป็นการขอร้องอย่างสุภาพ
Be able to: สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ใช้ได้กับทุกกาล (ปัจจุบัน, อดีต, อนาคต)– Kelvin is able to swim very well. (เคลวินสามารถว่ายน้ำได้ดีมาก)
– We are unable to swim like Kelvin. (เราไม่สามารถว่ายน้ำเหมือนเคลวินไม่ได้)
– ลึกซึ้งกว่าคำว่า “can” เน้นถึงความสามารถพิเศษหรือในสถานการณ์เฉพาะเจาะจง
– สามารถใช้ร่วมกับกาลต่างๆ ได้หลากหลาย มีความยืดหยุ่นมากกว่า can

Could – Was/Were able to

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
Could
– แสดงถึงความสามารถในอดีต- แสดงถึงความเป็นไปได้ที่บางสิ่งบางอย่างอาจเกิดขึ้น (แต่ไม่แน่นอน)
– ใช้เพื่อขออนุญาต/สุภาพกว่า Can
– ส่วนใหญ่ใช้ในอดีต
– สามารถใช้กับอนาคตที่ไม่แน่นอนได้อีกด้วย
– They told me they could come to my tea party. (พวกเขาบอกฉันว่าพวกเขาสามารถมาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาได้)
– It could be raining tomorrow. (พรุ่งนี้อาจจะฝนตก)
Could you give me the bottle, please? (คุณสามารถหยิบขวดน้ำให้ฉันหน่อยได้ไหม?)
– มักใช้กับคำกริยาการรับรู้ (see, hear, smell, taste, feel, remember, understand).
– สุภาพกว่าCan ในคำถาม
– ไม่ใช้ Could ในสถานการณ์ที่กดดันหรือเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (ควรใช้ was/were able to).
Was/Were able to: แสดงความสามารถหรือสิ่งที่ได้ทำในอดีต– อดีตของ Be able to
→ เปลี่ยน Be เป็น was/were
– I wasn’t able to come to your tea party. (ฉันไม่สามารถไปงานเลี้ยงน้ำชาของคุณได้)
– The building was on fire but Kelvin was able to escape. (อาคารเกิดไฟไหม้ แต่เคลวินหนีออกมาได้)
– ใช้เพื่อเน้นย้ำการกระทำที่เฉพาะเจาะจงในอดีต (โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและสำคัญ)
– โดยปกติมักใช้แทน Could เพื่อแสดงได้แม่นยำยิ่งขึ้น

Have to – Must – Need to

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
Must: ต้อง, ต้องทำโดยทั่วไปใช้ในปัจจุบันและอนาคต– I must finish my homework before tomorrow. (ฉันต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้)
– You must not smoke in public in Singapore. (คุณไม่ได้รับอนุญาตให้สูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะในประเทศสิงคโปร์)
– คำที่แข็งแกร่งที่สุดในสามคำนี้ แสดงถึงความจำเป็นอย่างยิ่ง
Mustn’t = ห้าม- ไม่มีกาลอดีต อยากแสดงกาลอดีตต้องใช้ had to.
Have to: ต้องทำ(เนื่องจากสถานการณ์ ระเบียบข้อบังคับ)ใช้ได้กับทุกกาล (past tense, present tense, future tense)– He has to work on his presentation. (เขาจะต้องทำการนำเสนอ)
– I didn’t have to get up at 9am today. (วันนี้ฉันไม่ต้องตื่น 9 โมงเช้า)
– มีความหมายคล้ายกับ must แต่เบากว่า มักเกี่ยวข้องกับงานและความรับผิดชอบภายนอก
– เชิงลบ: don’t/doesn’t have to = ไม่จำเป็น (ไม่บังคับ)
Need to: จำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่างใช้ได้กับทุกกาล – They need to come to Bangkok if they want the best chicken meal. (พวกเขาต้องมากรุงเทพฯ หากต้องการกินไก่มื้อที่ดีที่สุด)
– Kelvin doesn’t need to go to the grocery store this week. (เคลวินไม่จำเป็นต้องไปร้านขายของชำสัปดาห์นี้)
– มักใช้กันในชีวิตประจำวัน
– เชิงลบ: don’t/doesn’t need to = ไม่ต้องทำการใดๆ
– ระดับการบังคับเบากว่า must และ have to

May – Might

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
May: สามารถ ได้อนุญาต– ปัจจุบัน อนาคต
– ใช้เพื่อขออนุญาต
– ใช้เพื่อแสดงความสามารถ ความน่าจะเป็น(ระดับความแน่นอนที่สูงกว่า might)
May I use your phone, please? (ฉันสามารถใช้โทรศัพท์ของคุณได้ไหม?)
– It may rain tomorrow. (พรุ่งนี้อาจจะฝนตก)
– เป็นทางการมากกว่า can ในการขออนุญาต
– มักใช้ในการทำนายปัจจุบัน/อนาคต
– อดีต: may have + V3.
Might: อาจจะ, อาจจะอนุญาตได้ (สุภาพกว่า)– ปัจจุบัน อนาคต (มีโอกาสเป็นไปได้น้อยกว่า may.)
– อดีต (might have + V3)- ใช้เพื่อขออนุญาต (เป็นทางการมาก มักใช้ในการเขียนหรือคำพูดทางอ้อม)
Might I interrupt for a moment? (ฉันขอขัดจังหวะสักครู่ได้ไหม?)
– The car looks nice but it might be expensive. (รถดูดีแต่ก็อาจมีราคาแพงได้)
– She might come home late last night. (เธออาจจะกลับบ้านดึกเมื่อคืนนี้)
– You might have left it at work. (คุณอาจจะลืมมันไว้ที่ทำงาน)
– ไม่ค่อยได้ใช้ในการพูดเพื่อขออนุญาต ส่วนใหญ่จะใช้ในการพูดทางอ้อม
– ใช้เมื่อความน่าจะเป็นต่ำ.
– อดีต: might have + V3.

Need not

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
ไม่จำเป็นหรือจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างปัจจุบัน อนาคต– I needn’t come with him. (ฉันไม่จำเป็นต้องไปกับเขา)
– We don’t need to hurry. (เราไม่จำเป็นต้องรีบ)
– สามารถใช้ needn’t หรือโครงสร้าง don’t/doesn’t need to.
– แสดงถึงความไม่บังคับและเบากว่าปฏิเสธของ must.

Should/ought to

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
ให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไร แสดงหน้าที่ หรือทำนายอย่างสมเหตุสมผล– ปัจจุบันอนาคต– You should spend more time practicing listening to English lectures. (คุณควรใช้เวลาฝึกฟังการบรรยายภาษาอังกฤษให้มากขึ้น)
– You ought to eat less meat and dairy products to avoid diseases. (คุณควรทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมให้น้อยลงเพื่อหลีกเลี่ยงโรค)
– He should be very tired. (เขาคงจะเหนื่อยมาก)
– แสดงระดับบังคับประมาณ 50% (ไม่บังคับโดยสิ้นเชิง)
– สามารถใช้ในการสรุปผลอย่างสมเหตุสมผลโดยอาศัยหลักฐานได้
– มักใช้ในการให้คำแนะนำหรือแสดงความคิดเห็นที่สมเหตุสมผล
Should และ Ought to มีความหมายใกล้เคียงกันและสามารถใช้แทนกันได้

Had better

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
คำแนะนำที่หนักแน่น คำเตือน: “มันจะดีกว่าที่จะ…”– ปัจจุบันอนาคต– You had better do the homework right now. (คุณควรทำการบ้านของคุณตอนนี้)– เตือนใจหรือเน้นย้ำมากกว่า should
– มักใช้กับ had better + V (ไม่ผันรูป ไม่เพิ่ม “to”).
– ถ้าไม่ทำตามอาจส่งผลให้เกิดผลตามมา

Used to

คำจำกัดความใช้กับกาลอะไร?ตัวอย่างข้อสังเกตเมื่อใช้
Used to V: เคยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (นิสัยเก่าๆ ที่ไม่มีอีกต่อไป)
To get/be used to V-ing: ทำความคุ้นเคยกับการทำบางสิ่งบางอย่าง
– อดีต (used to V) / ปัจจุบัน (be/get used to V-ing)– I used to eat a lot of ice-cream when I was a little girl. (ฉันเคยกินไอศกรีมเยอะมากตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก)
– I am used to eating a glass of water before having dinner. (ฉันเคยชินกับการดื่มน้ำหนึ่งแก้วก่อนรับประทานอาหารเย็น)
Used to V เฉพาะกาลอดีต ไม่ใช้กับปัจจุบัน
Be/get used to V-ing ใช้เพื่อแสดงความคุ้นเคยกับการกระทำในปัจจุบันหรืออนาคต
– สังเกตความแตกต่างระหว่างused to (อดีต) และ be used to (คุ้นเคยกับ)

แบบฝึกหัด Modal Verb

ข้อสอบ Modal verb พร้อมเฉลย

เติม Modal Verb ที่เหมาะสมลงในช่องว่างด้านล่างให้ถูกต้อง ในบางตำแหน่งจะมีคำตอบที่ถูกต้องมากกว่าหนึ่งข้อ หมายเหตุ:ในการตัดสินใจว่าจะใช้คำยืนยันหรือคำปฏิเสธ คุณต้องให้ความสนใจอย่างยิ่งกับบริบทในประโยค หากบริบทไม่ชัดเจนเพียงพอ คุณสามารถใช้ทั้งสองอย่างได้

He ……… (+) or ……… (-) like sports. I don’t know much about him. (possibility 30%)

Oh no! I may be late for work. I ……… go now.

……… we go to a coffee shop after work?

He ……… win that competition. (Honestly, I don’t know much about his ability.)

We ……… like a table for two.

You ……… ride your motorbike without wearing a helmet.

……… you please help me check this contract?

เฉลย:

1. might – might not

2. must

3. Shall

4. will/ won’t

5. Could

6. will

7. can’t

แบบฝึกหัดเกี่ยวกับ Semi-modal Verb

จัดเรียงคำด้านล่างเพื่อสร้างประโยคที่ถูกต้อง

1. those/ me/ touch/ to/ that/ kids/ dog/ dared/ .

2. at/ daren’t/ our/ go/ alone/ night/ son/ out/ .

3. rivers/?/ your/ sister/ younger/ to/ dare/ does/ in/ swim/

4. needn’t/ food/ party/ buy/ you/ more/ the/ for

5. night/ , / we/ dare/ get/ room/ into/ that/ scary/ didn’t/ last/ .

6. co-worker/ always/ help / my/ that/ needs/ .

7. live/ my/ I/ need/ early/ to/ because/ near/ I/ company/ get up/ don’t.

เฉลย:

1. Those kids dared me to touch that dog.

2. Our son daren’t go out alone at night.

3. Does your younger sister dare to swim in rivers?

4. You needn’t buy more food for the party.

5. Last night, we didn’t dare get into that scary room.

6. That co-worker always needs my help.

7. I don’t need to get up early because I live near my company.

คำถามที่พบบ่อย

Modal Auxiliary verb คือ?

Modal Auxiliary เป็นกริยาช่วยที่ใช้แสดงความสามารถ ความจำเป็น ภาระผูกพัน คำแนะนำ การทำนาย หรือการอนุญาตของประธานในประโยค

Modal verb สรุป

Modal verb หลักๆ ได้แก่ Can, Could, May, Might, Must, Shall, Should, Will, Would, Ought to, Had better, Need to, Used to กริยาเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนรูปตามบุคคล และมักใช้ร่วมกับรูปกริยาพื้นฐาน (V-inf) ซึ่งใช้แสดงความสามารถ หน้าที่ คำแนะนำ การทำนาย หรือการอนุญาต

ในบทความด้านบน ELSA Speak ก็ได้รวบรวมความรู้และประยุกต์แบบฝึกหัดเกี่ยวกับ Modal verb และ Semi-modal verb แล้วELSA Speak หวังว่าจากบทความข้างต้น คุณจะสามารถเชี่ยวชาญและใช้คำกริยาเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว ขอบคุณมากที่อ่านบทความ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะ!

Anyway คืออะไร? โครงสร้างเป็นยังไงถึงปรากฏบ่อยและต่อเนื่องในบทสนทนาภาษาอังกฤษแบบนั้น? แล้วจะแยกแยะ Anyway และ Though, By the way ได้ยังไง เพื่อไม่ให้สับสนเมื่อสื่อสารภาษาอังกฤษ?

หากคุณตั้งใจที่จะเรียนรู้ หรือมีคำถามเกี่ยวกับวลีเหล่านี้ อย่าเพิกเฉยต่อบทความต่อไปนี้ ELSA Speak จะมาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับ Anyway และวิธีการแยกแยะ Anyway, Though, Any Way & By the way ในภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องและเป็นธรรมชาติ!

ก่อนอื่น มีสิ่งหนึ่งที่ ELSA Speak อยากให้คุณระลึกไว้เสมอเมื่ออ่านบทความด้านล่างนี้ ทุกเครื่องหมายจุลภาค “,” ก่อนหรือหลัง ‘though’ และ ‘anyway’ มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเขียนประโยค ดังนั้นอย่าคิดว่ามันมีขนาดเล็กแล้ว “ละเลย” เมื่ออ่านตัวอย่างหรือทำแบบฝึกหัดด้านล่างนะ

Anyway คืออะไร?

Anyway แปลว่า อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างนั้น (คล้ายกับ “despite that” หรือ “in spite of that”) อย่างน้อย นอกจากนี้ มากกว่านี้….

โดยปกติแล้ว Anyway ใช้เพื่อแสดงว่า คุณเสร็จสิ้นการสนทนาหัวข้อหนึ่งแล้ว และคุณกำลังจะไปยังหัวข้ออื่นโดยสิ้นเชิง

โดยทั่วไปแล้ว ‘anyway’ ยังมีความหลากหลายในความหมาย หน้าที่ และตำแหน่งในประโยค โดยจะมีความหมาย หน้าที่ และตำแหน่งบางอย่างที่คล้ายกับ ‘though’

Anyway เมื่ออยู่ท้ายอนุประโยค/ประโยค

เมื่อ Anyway อยู่ท้ายอนุประโยค/ประโยค:

ตัวอย่าง:

The doctor advised her not to drink alcohol during this time, but I think she’s gonna do it anyway.

⟶ คุณหมอได้แนะนำให้เธอไม่ดื่มเหล้าในช่วงเวลานี้ แต่ฉันคิดว่าเธอจะยังคงดื่มอยู่

(ทั้งๆที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอแล้ว เธอก็ยังจะดื่ม)

elsa speak official

Anyway อยู่ต้นประโยค

Anyway ในจุดเริ่มต้นของประโยค – ใช้เพื่อเปลี่ยนหัวเรื่อง: Anyway สามารถอยู่ต้นประโยคและทำหน้าที่เป็น ‘สะพานเชื่อมหัวข้อ’ ช่วยย้ายจากหัวเรื่องของประโยคก่อนหน้าไปยังหัวเรื่องของประโยคที่ ‘anyway’ นำหน้า

ตัวอย่างที่ 1:

Lucy: ‘Oh, hey, Anna! You’re back from the trip. You look so vibrant!’

⟶ ลูซี่: ‘โอ้ เฮ้ แอนนา! กลับมาจากการเดินทางแล้วเหรอ คุณดูมีชีวิตชีวามาก!’

Anna: ‘Thanks! The trip was amazing. Anyway, did anything interesting happen when I’m not around?

⟶ แอนนา: ‘ขอบคุณนะ! การเดินทางนั้นยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตาม มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นตอนที่ฉันไม่อยู่หรือเปล่า?

วิเคราะห์: ที่นี่ แอนนาใช้ ‘anyway’ เพื่อเปลี่ยนจากหัวข้อการเดินทางเป็นการถามว่า มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่แอนนาไม่อยู่มั้ย

Anyway อยู่ต้นหรือท้ายของอนุประโยค

Anyway อยู่ต้นหรือท้ายของอนุประโยค – ใช้เพื่อเพิ่มข้อมูล (สำคัญกว่า) อีกหนึ่งรายการ:

ตัวอย่าง:

I’m not going to that music show, because I don’t have time and anyway it’s too expensive.

⟶ ฉันไม่ไปงานแสดงดนตรีนั้น เพราะฉันไม่มีเวลาและยังไงก็ตามมันแพงเกินไป

Anyway อยู่ท้ายของประโยคขอบคุณ

Anyway อยู่ท้ายของประโยคขอบคุณ หมายความว่า “ยังไงก็”: เมื่อมีคนเสนอผลประโยชน์ให้คุณ เช่น เชิญคุณไปกิน/ดื่ม เสนอที่จะขับรถพาคุณกลับ/ไป เสนอบางอย่างให้คุณ /… แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง คุณต้องปฏิเสธ แต่คุณยังอยากขอบคุณพวกเขา คุณสามารถกล่าวขอบคุณกับคำว่า ‘anyway’ ในตอนท้าย โดยมีความหมายว่า “อย่างไรก็ขอบคุณมากนะ!”

โปรดอ่านบทสนทนาด้านล่างเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม:

Anna: ‘Would you like something to eat, Lucy?’

⟶ แอนนา: ‘อยากกินอะไรไหม ลูซี่’

Lucy: ‘I have just had a sandwich. Thanks, anyway!’

⟶ ลูซี่: ‘ฉันเพิ่งกินแซนวิชไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณมากนะ!’

แยกแยะความแตกต่างระหว่าง Anyway และ Though ในภาษาอังกฤษ

ความแตกต่างระหว่าง Anyway และ Though

ตำแหน่งและ Though การใช้ในประโยค

ตัวอย่าง:

Though I don’t like meetings, I always take part in them actively.

⟶ แม้ว่าฉันจะไม่ชอบการประชุม แต่ฉันก็มีส่วนร่วมในการประชุมนั้นอย่างกระตือรือร้นเสมอ

ตัวอย่าง:

Our boss will probably say ‘no’, though it’s worth presenting the idea to him.

⟶ เจ้านายของเราอาจจะตอบว่า ‘ไม่’ แต่ยังไงก็จะคุ้มค่าที่จะนำเสนอแนวคิดนี้แก่เขา

ตัวอย่าง:

That co-worker is very friendly, though he’s kinda nosy.

⟶ เพื่อนร่วมงานคนนั้นเป็นมิตรมาก แต่เขาก็เป็นคนช่างพูด

โปรดอ่านบทสนทนาด้านล่างเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม:

David: ‘Can’t believe you bought that phone! It’s so expensive!’

⟶ เดวิด: ‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณซื้อโทรศัพท์เครื่องนั้น! มันแพงมาก!’

Daniel: ‘It’s modern and well designed, though.’

⟶ แดเนียล: ‘แต่มันทันสมัยและออกแบบมาอย่างดี’

โปรดอ่านบทสนทนาด้านล่างเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม:

Anna: ‘Would you like something to eat, Lucy?’

⟶ แอนนา: ‘อยากกินอะไรไหม ลูซี่’

Lucy: ‘I have just had a sandwich. Thanks, though!’

⟶ Lucy: ลูซี่: ‘ฉันเพิ่งกินแซนวิชไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณมากนะ!’

แยกแยะวิธีการใช้ Anyway และ Any Way

anyway và any way

ตัวอย่าง:

The doctor advised her not to drink alcohol during this time, but I think she’s gonna do it anyway.

⟶ คุณหมอได้แนะนำให้เธอไม่ดื่มเหล้าในช่วงเวลานี้ แต่ฉันคิดว่าเธอจะยังคงดื่มอยู่

We should help her in any way.

⟶ เราควรจะช่วยเหลือเธอไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม

ความแตกต่างระหว่าง Anyway และ By the way คืออะไร?

ในส่วน Anyway คืออะไร? เราได้เรียนรู้ว่า Anyway หมายความว่า: อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างนั้น อย่างน้อย นอกจากนี้ มากกว่านี้…. และตำแหน่ง หน้าที่เฉพาะในประโยค แล้ว By the way คืออะไร?

คล้ายกับ Anyway, By the way มักจะใช้ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ (การพูด) แต่ในไวยากรณ์และการเขียน คุณมักจะไม่เห็นวลีนี้ เหตุผลคือ เพราะเรามักจะใช้วลีนี้เพื่อเชื่อมโยงหัวข้อ เนื้อหาก่อนหน้า หรือเปลี่ยนหัวข้อหรือ เนื้อหาของการสนทนาโดยกะทันหัน

ทั้งสองวลีนี้ใช้เพื่อเปลี่ยนหัวข้อและเนื้อหา อย่างไรก็ตาม By the way เป็นแบบสุ่ม เช่น มีบางอย่างเกิดขึ้น หรือคุณเพิ่งนึกขึ้นได้ในระหว่างการสนทนาและต้องการเปลี่ยนไปยังหัวข้อนั้น

ตัวอย่าง:

Did you come home yesterday? Oh, by the way, did you watch the basketball last night? I can’t believe our team lost!

⟶ เมื่อวานคุณกลับบ้านเหรอ อ้อ เมื่อคืนคุณดูบาสเก็ตบอลหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าทีมเราจะแพ้!

ฝึกฝนการใช้ Anyway และ Though

เติมคำ ‘though’ หรือ ‘anyway’ ในช่องว่างให้เหมาะสม หมายเหตุ ในบางกรณีสามารถเติมทั้งสองได้

1. Yesterday, I didn’t go to school because I was sick. …………….., did the teachers give us any exercises?

2. I don’t think she will like the shirt, …………….. she can give it to her sister.

3. Trust me! No matter how often you remind him, he will forget to turn off the lights ……………..

4.

A: ‘Would you like something to drink?

B: ‘I’m not thirsty. Thanks, ……………..!’

5. He’s handsome, …………….. he’s not faithful.

6. I don’t like that co-worker, because she’s talkative and …………….. she’s very nosy.

7. …………….. I don’t like sports, I play them regularly to improve my health.

8. He loves her a lot, but she doesn’t love him ……………..

9. I get along well with that new employee, …………….. we’re very different.

10. ‘I’m fine. Thanks! …………….., where did you buy this dress? It’s beautiful’

คุณแยกความแตกต่างการใช้ anyway กับ though ได้แล้วใช่ไหม ในภาษาอังกฤษยังมี some และ any ที่ทำให้ผู้เรียนสับสนด้วย มาลองอ่านบทความเกี่ยวกับ some any นี้เพื่อแยกแยะการใช้งานในแต่ละกรณีกัน
วิธีการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารที่บ้านอย่างไรให้ได้ผล / เรียนภาษาอังกฤษด้วยต

คำตอบ:

1. Yesterday, I didn’t go to school because I was sick. Anyway, did the teachers give us any exercises?

⟶ เมื่อวานฉันไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะฉันไม่สบาย อ้อ แต่อาจารย์ได้ให้แบบฝึกหัดบ้างไหม?

2. I don’t think she will like the shirt, though she can give it to her elder sister.

⟶ ฉันไม่คิดว่า เธอจะชอบเสื้อตัวนี้ แต่ยังไงเธออาจจะให้คุณก็ได้

3. Trust me! No matter how often you remind him, he will forget to turn off the lights anyway.

⟶ เชื่อฉันเถอะ! ไม่ว่าคุณจะเตือนเขาบ่อยแค่ไหน เขาก็จะลืมปิดไฟ

4.

A: ‘Would you like something to drink?’

⟶ A: “คุณต้องการจะดื่มอะไรไหม?”

B: ‘I’m not thirsty. Thanks, anyway/though!’

⟶ B: “ฉันไม่กระหายน้ำ ยังไงก็ขอบคุณมากนะ!”

5. He’s handsome, though he’s not faithful.

⟶ เขาหล่อ แต่ว่าเขาไม่ซื่อสัตย์

6. I don’t like that co-worker, because she’s talkative and anyway she’s very nosy.

⟶ ฉันไม่ชอบเพื่อนร่วมงานคนนั้น เพราะเธอพูดมาก และยังไงก็ตามเธอก็เป็นคนช่างพูด

7. Though I don’t like sports, I play them regularly to improve my health.

⟶ แม้ว่าฉันไม่ชอบเล่นกีฬา แต่ฉันเล่นกีฬาเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

8. He loves her a lot, but she doesn’t love him anyway.

⟶ เขารักเธอมาก แต่เธอไม่ได้รักเขาอยู่ดี

9. I get along well with that new employee, though we’re very different.

⟶ ฉันเข้ากันได้ดีกับพนักงานใหม่คนนั้น แม้ว่าเราจะต่างกันมากก็ตาม

19. ‘I’m fine. Thanks! Anyway, where did you buy this dress. It’s beautiful’

⟶ ‘ฉันสบายดี ขอบคุณนะ! แต่ว่าคุณซื้อชุดนี้ที่ไหน สวยมากเลย’

บทความข้างต้นได้รวบรวมความรู้ เช่น Anyway คืออะไร? โครงสร้างและวิธีการใช้ Anyway ตลอดจนวิธีแยกแยะความแตกต่างระหว่าง Anyway และ “though”, “by the way” ซึ่งเป็นวลีที่สร้างความสับสนอย่างมากเมื่อใช้ ELSA Speak หวังว่าในบทความนี้ คุณจะสามารถใช้วลีข้างต้นเพื่อสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ “เป๊ะ” นะ

สำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษทุกวัยและทุกระดับ การพูดภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสูงสุด ด้วยความเข้าใจในความต้องการนี้ ELSA Speak จึงพยายามส่งบทเรียนและเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการสื่อสารภาษาอังกฤษให้คุณเพื่อการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง อย่าลืมตั้งใจอ่านด้วยนะ!