Author: Bao Ngan Nguyen
However เป็นคำสันธาน (conjunctions) ที่ใช้เพื่อเชื่อมประโยคสองประโยคที่ขัดแย้งกัน งั้น However หมายถึงอะไร วิธีใช้ However อย่างไร มาเรียนรู้กับ ELSA Speak ข้างล่างนี้กันนะ
However แปลว่า
However อ่านว่า /haʊˈɛvə/ เป็นคําสันธาน (conjunction) มักจะหมายถึง “อย่างไรก็ตาม” หรือ “แม้ว่า” ในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ คำสันธานใช้เพื่อเชื่อมคำ ประโยค หรืออนุประโยค แต่สําคัญที่สุดคือ However เป็นคำร่วมที่ใช้เพื่อเชื่อมสองประโยคหรือสองอนุประโยคที่ขัดแย้งกัน
However ตัวอย่างประโยค :
- Lisa tried to make chocolate for JJ. However, it turned out really bad. (ลิซ่าพยายามทำช็อกโกแลตให้เจเจ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เป็นผล)
- Yuri looks like she is getting better. However, her sickness is still there. (ยูริดูเหมือนอาการจะดีขึ้นแล้ว แต่อาการป่วยของเธอยังคงอยู่)

However ใช้อย่างไร
However ทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์ที่เชื่อมสองประโยค
เมื่อคุณต้องการใช้ However เพื่อแสดงถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามหรือตัดกันระหว่างสองประโยคหรือสองอนุประโยค เราจะใช้ However เป็นคำวิเศษณ์สำหรับทั้งประโยค
และโดยเฉพาะเวลาใช้ However เป็นคำวิเศษณ์ในประโยค คุณสามารถวางไว้ได้ 3 ตำแหน่ง ได้แก่ หน้าประโยค ท้ายประโยค และกลางประโยค
ตําแหน่ง | โครงสร้าง | ตัวอย่าง |
However อยู่หน้าประโยค | However, S + V… | • However, the team was not able to meet the deadline. (อย่างไรก็ตาม ทีมงานก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จทันเวลาได้) • However, she continued to pursue her passion despite the challenges. (อย่างไรก็ตาม เธอยังคงไปตามความฝันของเธอต่อไป แม้จะเผชิญกับความท้าทาย) |
However อยู่ท้ายประโยค | S + V…, however. | • She tried her best to finish the project on time, however. (อย่างไรก็ตาม เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้โครงการเสร็จทันเวลา) • The weather was perfect for a picnic, we couldn’t go, however. (อากาศดีมาก เหมาะกับการปิกนิกที่สุด แต่เราไม่สามารถไปได้) |
However อยู่ตรงกลางประโยค | S, however, V… | • Moey loves traveling, however, she dislikes long flights. (เม้ยชอบไปเที่ยว แต่เธอไม่ชอบการเดินทางโดยเครื่องบินไกล ๆ) • Jom studied hard for the exam, however, he didn’t pass. (จอมตั้งใจเรียนเพื่อสอบแต่ก็สอบไม่ผ่าน) |

However หมายถึง “เท่าไหร่ก็ได้”
นอกจากนี้ ในรูปแบบของคำสันธาน (conjunction) ที่เชื่อมระหว่างสองอนุประโยค However ยังอาจหมายถึง “เท่าไหร่ก็ได้” หรือ “อะไรก็ได้” แทนคำว่า “อย่างไรก็ตาม” หรือ “แม้ว่า”
S + V + however + S + V |
ตัวอย่าง however แต่งประโยค :
- You can eat however you like, it’s on me. (คุณจะทานยังไงก็ได้ตามใจชอบ ฉันเลี้ยงเอง)
- It’s your birthday! You can play games however you want to. (วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ คุณสามารถเล่นเกมได้ตามที่คุณอยากเล่น)

However ใช้เป็นคำวิเศษณ์
ตําแหน่ง | วิธีใช้ | โครงสร้าง | ตัวอย่าง |
However อยู่หน้าคำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์ | ใช้เพื่อเน้นความจริงจังและระดับของสถานการณ์หรือเหตุการณ์ ในรูปแบบนี้ However มักจะหมายถึง “ทั้ง ๆ ที่” หรือ “แม้ว่า” | However + adj/adv + S + V, S + V… S + V, however + adj/adv + S + V… | • However hard he tried to study, he still failed the test. (แม้ว่าเขาจะพยายามเรียนหนักแค่ไหน เขาก็ยังสอบตก) • He still failed the test, however hard he tried to study. (เขาก็ยังคงสอบตกแม้ว่าเขาจะพยายามอ่านหนังสือมากแค่ไหนก็ตาม) |
However อยู่หน้า much/many | ใช้ However พร้อมกับ much และ many เพื่อเน้นย้ำถึงความจริงจังของบางสิ่งบางอย่างจนถึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์หรือแก้ไขได้อีกต่อไป | However + much/many (+ N) + S + V, S + V… S + V…, however + much/many (+ N) + S + V | • However much effort I put in, I would still fail. (แม้ว่าฉันจะพยายามมากเพียงใด ฉันก็ยังล้มเหลว) • I would still fail, however much effort I put in. (ฉันยังคงล้มเหลวไม่ว่าฉันจะพยายามมากเพียงใดก็ตาม) |
ใช้ However เพื่อถาม | มักใช้เพื่อแสดงความประหลาดใจของผู้พูดในบางสิ่งบางอย่าง | How + กริยานุเคราะห์ + S + V? | • However did you find this spot to begin with? (คุณค้นพบสถานที่นี้ได้อย่างไร) • However did you change her mind? (คุณเปลี่ยนใจเธอได้อย่างไร) |

>>> Read more: การใช้ how much how many ในภาษาอังกฤษ
โครงสร้างที่คล้ายกับ However ภาษาอังกฤษ
โครงสร้าง | ความหมาย | ตัวอย่าง |
Nonetheless | กระนั้นก็ตาม | Nonetheless, they managed to complete the project on time. (ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขายังสามารถดําเนินโครงการได้เสร็จทันเวลา) |
Notwithstanding | ถึงแม้ว่า | Notwithstanding the bad weather, the event went ahead. (แม้ว่าจะมีสภาพอากาศเลวร้าย แต่กิจกรรมก็ยังคงดำเนินต่อไป) |
Withal | ถึงอย่างนั้น | He is strict, withal, he is fair. (เขาเป็นคนเคร่งครัด ถึงอย่างนัั้น เขาก็เป็นคนยุติธรรม) |
Still/Yet | แต่ | She was tired, yet she continued to work. (เธอเหนื่อยแต่เธอยังทำงานต่อไป) |
After all | ถึงอย่างไร | He might be late, but after all, he has always been reliable. (เขาอาจจะมาสาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนน่าเชื่อถือเสมอ) |
All the same | แต่กระนั้น | She didn’t agree with him, but she respected his opinion all the same. (เธอไม่เห็นด้วยกับเขา แต่เธอก็เคารพความเห็นของเขา) |
Anyhow | อย่างไรก็ตาม | The plan didn’t work, but anyhow, we learned a lot from the experience. (แม้แผนจะไม่ได้ผล แต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากประสบการณ์นี้) |
Be that as it may | ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม | Be that as it may, we need to find a solution quickly. (ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องหาทางแก้ไขโดยเร็ว) |
Howbeit | แม้ว่า | The team was underfunded, howbeit, they performed exceptionally well. (แม้ว่าทีมจะได้รับเงินทุนไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็เล่นได้ยอดเยี่ยมที่สุด) |
In spite of | ถึงแม้ว่า | In spite of the challenges, she succeeded in her career. (แม้จะเผชิญความท้าทายมากมาย แต่เธอก็ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของเธอ) |
Per contra | ในทางตรงกันข้าม | Per contra, the findings suggest a different outcome. (ในทางตรงกันข้าม การค้นพบให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน) |
Though | แม้ว่า | Though it was raining, they continued with the match. (แม้ว่าฝนจะตก แต่พวกเขาก็ยังคงแข่งขันกันต่อ) |
Without regard to | โดยไม่คำนึงถึง | Without regard to the consequences, they made a risky decision. (พวกเขาตัดสินใจที่จะเสี่ยงโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา) |
Though/Although/Even so | แม้ว่า | Though she was busy, she found time to help. (แม้ว่าเธอจะยุ่ง แต่เธอยังหาเวลาช่วยได้) |
In spite of/despite that | ถึงกระนั้น | Despite that, he kept his promise. (ถึงกระนั้น เขาก็รักษาคําสัญญาของเขา) |
Still and all | แต่ | He was tired, still and all, he finished his work. (เขาเหนื่อยแต่ยังคงทำงานของเขาจนเสร็จ) |

>>> Read more: แยกความแตกต่างการใช้ Despite/ In spite of/ Although แปลว่า/ Though/ Even though
แยกแยะระหว่าง However กับ But, Therefore และ Nevertheless
ความแตกต่างระหว่าง But กับ However
However | But | |
วิธีใช้ | • มักใช้ในภาษาเขียน • ใช้เป็นคำวิเศษณ์เป็นหลัก (adverb) | • มักใช้ในภาษาพูด • ใช้เป็นคำสันธานเป็นหลัก (conjunction) |
ตําแหน่ง | สามารถวางไว้ต้น กลาง และท้ายประโยคได้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างที่ใช้ | โดยปกติแล้วจะอยู่ตรงกลางประโยคเท่านั้น และโดยเฉพาะในภาษาเขียนของภาษาอังกฤษ |
ตัวอย่าง | • I know I can’t finish a whole pizza. However, I gave it a try. (ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถกินพิซซ่าจนหมดทั้งถาดได้ อย่างไรก็ตามฉันจะลองดู) • Jom – my big brother, is an excellent student. However, he used to be very bad. (จอม พี่ชายของฉันเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาก แต่เมื่อก่อนเขาเคยเรียนแย่มาก) | • Jane is a beautiful girl, but I don’t like how she talks. (เจนเป็นคนสวย แต่ฉันไม่ชอบวิธีการพูดของเธอ) • Ling speaks English fluently, but she still failed the final exam. (หลิงพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วแต่เธอก็ยังสอบปลายภาคตกอยู่ดี) |

แยกแยะระหว่าง However กับ Therefore
เกณฑ์ | However | Therefore |
ความหมาย | อย่างไรก็ตาม | ดังนั้น |
ฟังก์ชัน | คำวิเศษณ์แสดงความแตกต่างและความขัดแย้งระหว่างสองประโยค | คำสันธานแสดงผลของการกระทำในประโยคก่อนหน้า |
ตําแหน่ง | อาจอยู่ต้น กลาง หรือท้ายประโยคก็ได้ | มักจะอยู่ตรงกลางประโยค ไม่ใช่หน้าหรือท้ายประโยค |
ตัวอย่าง | Moey loves singing, however, she doesn’t want to become a singer. (แม้ว่าเม้ย จะชื่นชอบการร้องเพลง แต่เธอไม่ต้องการเป็นนักร้อง) | Moey loves singing, therefore, she decides to take a vocal class. (เม้ยชื่นชอบการร้องเพลง เธอจึงตัดสินใจเข้าเรียนคลาสร้องเพลง) |

แยกแยะระหว่าง However กับ Although
เกณฑ์ | However | Although |
ชนิดของคํา | Conjunctive adverb (คํากริยาวิเศษณ์) | Conjunction (คําสันธาน) |
ฟังก์ชัน | ใช้เพื่อระบุความแตกต่างระหว่างสองประโยค | ใช้เพื่อเชื่อมโยงสองประโยคและบ่งบอกถึงความขัดแย้ง |
ตําแหน่ง | มักจะอยู่ต้นหรือกลางประโยคพร้อมด้วยจุลภาค | มักจะอยู่ต้นหรือกลางประโยคโดยไม่มีเครื่องหมายจุลภาค |
โครงสร้าง | S + V, however, S + V. | Although + ประโยครอง และประโยคหลัก |
บริบท | มักใช้ในการเขียนเชิงวิชาการและสื่อมวลชน | ที่ใช้กันทั่วไปในการพูดในชีวิตประจำวัน |
ตัวอย่าง | The dissemination of scientific information is very useful. However, some valuable information is likely to be locked up. (การเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นั้นมีประโยชน์มาก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีค่าบางอย่างอาจถูกล็อกไว้) | Although different opinions are creating arguments, people still value free speech. (แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทำให้เกิดการโต้แย้ง แต่ผู้คนยังคงให้คุณค่ากับเสรีภาพในการพูด) |

แยกแยะระหว่าง However กับ Nevertheless
เกณฑ์ | However | Nevertheless |
ความหมาย | อย่างไรก็ตาม (การตรงกันข้ามระหว่างสองประโยค) | อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้น (เน้นการตรงกันข้ามมากกว่า) |
ตําแหน่ง | สามารถอยู่ต้น กลาง หรือท้ายประโยคได้ | มักจะอยู่ต้นหรือกลางประโยค |
ตัวอยาง | I can understand your feelings right now. However, I do not approve of you giving up so easily. (ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณตอนนี้ แต่ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่คุณจะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนั้น) | I have devoted my life to the development of the company. Nevertheless, I am still not recognized. (ฉันอุทิศชีวิตเพื่อพัฒนาบริษัท แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่ได้รับคําชื่นชม) |

คําถามที่พบบ่อย
However อ่านว่าอะไร
However อ่านว่า /haʊˈɛvə/
However + อะไร
However + adj/adv + S + V, S + V… หรือ However + S + V
เมื่อไหร่ควรวาง However ต้นประโยค เมื่อไหร่ควรวาง However กลางประโยคหรือท้ายประโยค
ในประโยค ตำแหน่งของ However มักจะไม่สำคัญและไม่เปลี่ยนความหมายดั้งเดิมของประโยค ดังนั้นโปรดใช้รูปแบบประโยค However ที่คุณรู้จักดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดในการสื่อสารนะ
However ขึ้นต้นประโยค อย่างไร
However มักจะอยู่ต้นหรือกลางประโยค หลังเครื่องหมายจุลภาค “,” เพื่อแยกสองประโยค โครงสร้าง however สามารถใช้ร่วมกับประโยคที่สมบูรณ์ คำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์ก็ได้
แบบฝึกหัด However

แบบฝึกหัด
บทที่ 1: จงเขียนประโยคด้วย However
1. I gave it my all. I still failed. (however)
⇒ I gave
2. I like Mary a lot. She doesn’t seem to like me back. (but)
⇒ I like
3. I stayed up all night to study. I did not get good grades. (however)
⇒ I stayed
4. I ate three bowls of noodles. I’m still not full. (however)
⇒ I ate
5. I love cats. I would always get scratched by them. (however)
⇒ I love
บทที่ 2: จงเลือกคำที่เหมาะสมเพื่อเติมลงในช่องว่าง
1. … hard he tried to please her, she still hates him. (However/But)
2. May is a nice girl, … not a lot of people like her. (however/but)
3. … much time I spend to make money, I’m still broke. (however/but)
4. You can play the game … you like, there are no rules! (however/but)
5. Eat … you want, as long as it makes you happy. (however/but)
เฉลย
บทที่ 1:
1. I gave it my all. However, I still failed
2. I like Mary a lot, but she doesn’t like me back.
3. I stayed up all night to study. However, I still did not get good grades.
4. I ate three bowls of noodles. However, I’m still not full.
5. I love cats. However, I would always get scratched by them.
บทที่ 2:
1. However
2. but
3. However
4. however
5. however
ข้างต้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ However และวิธีการใช้ However หวังว่าการแบ่งปันข้างต้นจะช่วยให้คุณเข้าใจคำสันธานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ อย่าลืมเข้ามาที่ ELSA Speak เป็นประจำเพื่ออัปเดทความรู้ด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของคุณทุกวันนะ
ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ เป็นหัวข้อที่มักปรากฏในบทสนทนาในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเพื่อที่จะแสดงและอธิบายให้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของตัวเองจากครอบครัว ความรัก เพื่อน ไปจนถึงการทำงาน เราต้องทำอย่างไร และมาสำรวจคำศัพท์ความสัมพันธ์ภาษาอังกฤษกับ ELSA Speak ในบทความด้านล่างนี้นะ
ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง
ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ คือ relationship /rɪˈleɪʃənʃɪp/
ตัวอย่าง
- They have a close relationship with their neighbors. (พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเพื่อนบ้าน)
- Building a strong relationship takes time and effort. (การสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงต้องใช้เวลาและความพยายาม)

รวม คําศัพท์ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว
คําศัพท์ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ ในครอบครัว | ถอดเสียง | แปล |
Father | /ˈfɑːðə/ | พ่อ |
Mother | /ˈmʌðə/ | แม่ |
Child | /ʧaɪld/ | ลูก |
Daughter | /ˈdɔːtə/ | ลูกสาว |
Brother | /ˈbrʌðə/ | พี่ชายหรือน้องชาย |
Sister | /ˈsɪstə/ | พี่สาวหรือน้องสาว |
Son | /sʌn/ | ลูกชาย |
Husband | /ˈhʌzbənd/ | สามี |
Wife | /waɪf/ | ภรรยา |
Uncle | /ˈʌŋkl/ | ลุง อาผู้ชาย |
Aunt | /ɑːnt/ | ป้า น้าผู้หญิง |
Nephew | /ˈnɛvju/ | หลานชาย |
Niece | /niːs/ | หลานสาว |
Grandmother | /ˈgrænˌmʌðə/ | ยาย |
Grandfather | /ˈgrændˌfɑːðə/ | ตา |
Cousin | /ˈkʌzn/ | ลูกพี่ลูกน้อง |
Grandchild | /ˈgrænʧaɪld/ | หลาน |
Grandson | /ˈgrænsʌn/ | หลานชาย |
Granddaughter | /ˈgrænˌdɔːtə/ | หลานสาว |
Godfather | /ˈgɒdˌfɑːðə/ | พ่ออุปถัมภ์ |
Godmother | /ˈgɒdˌmʌðə/ | แม่อุปถัมภ์ |
Stepfather | /ˈstɛpˌfɑːðə/ | พ่อเลี้ยง |
Stepmother | /ˈstɛpˌmʌðə/ | แม่เลี้ยง |
Mother-in-law | /ˈmʌðərɪnlɔ/ | แม่ของสามี หรือ แม่ของภรรยา |
Father-in-law | /ˈfɑːðərɪnlɔ/ | พ่อของสามี หรือ พ่อของภรรยา |
Stepbrother | /ˈstɛpˌbrʌðə/ | พี่เลี้ยง (ลูกชายของแม่เลี้ยง หรือ พ่อเลี้ยง) |
Stepsister | /ˈstɛpˌsɪstə/ | พี่เลี้ยง (ลูกสาวของแม่เลี้ยง หรือ พ่อเลี้ยง) |
Blue blood | /bluː blʌd/ | กลุ่มคนที่อยู่ในสถาบันกษัตริย์ |
Daughter-in-law | /dɔːtərɪnlɔ/ | ลูกสะใภ้ |
Brother-in-law | /ˈbrʌðərɪnlɔ/ | พี่หรือน้องเขย |
Sister-in-law | /ˈsɪstərɪnlɔ/ | พี่หรือน้องเมีย |
Single mother | /ˈsɪŋgl ˈmʌðə/ | แม่เลี้ยงเดี่ยว |
Divorce | /dɪˈvɔːs/ | การหย่าร้าง |
Bitter divorce | /ˈbɪtə dɪˈvɔːs/ | การแยกทาง |

>>> Read more:
- สรุป 3,000 คำศัพท์เกี่ยวกับหัวข้อ ครอบครัวภาษาอังกฤษ
- 150+ คำคมครอบครัวในภาษาอังกฤษที่มีความหมายดี ๆ ตลก และน่ารัก
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอารมณ์
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอารมณ์ | ถอดเสียง | แปล |
Date | /deɪt/ | คบหาดูใจกัน |
Boyfriend | /ˈbɔɪˌfrɛnd/ | แฟนผู้ชาย |
Girlfriend | /ˈgɜːlˌfrɛnd/ | แฟนผู้หญิง |
Husband | /ˈhʌzbənd/ | สามี |
Wife | /waɪf/ | ภรรยา |
Mistress | /ˈmɪstrɪs/ | คนรัก |
Lover | /ˈlʌvə/ | ที่รัก |
Engagement | /ɪnˈgeɪʤmənt/ | การหมั้น |
Breakup | /ˈbreɪkˈʌp/ | เลิกกัน |
Divorce | /dɪˈvɔːs/ | การหย่าร้าง |
Triangle love | /ˈtraɪæŋgl lʌv/ | รักสามเส้า |
Lovelorn | /ˈlʌvlɔːn/ | อกหัก |
Un-required love | /ˌʌn-rɪˈkwaɪəd lʌv/ | รักแบบข้างเดียว |
Crush | /krʌʃ/ | ชอบใครบางคน |
First love | /fɜːst lʌv/ | ความรักครั้งแรก |
Fall in love | /fɔːl ɪn lʌv/ | ตกหลุมรัก |
Lovesick | /ˈlʌvsɪk/ | เป็นไข้ใจ |
Casual / Steady Dating | /ˈkæʒuəl ˈstɛdi ˈdeɪtɪŋ/ | คบกันแบบไม่เปิดเผย |
Divorced | /dɪˈvɔːst/ | การหย่าร้าง |
Fling | /flɪŋ/ | กิ๊ก (ความสัมพันธ์ระยะสั้น) |
FWB (Friend with Benefit) | /frɛnd wɪð ˈbɛnɪfɪt/ | มีความสัมพันธ์ทางกายโดยปราศจากความรัก |
Married | /ˈmærɪd/ | แต่งงานแล้ว |
Open Relationship | /ˈəʊpən rɪˈleɪʃənʃɪp/ | ความสัมพันธ์แบบเปิดเผย |
Platonic Relationship | /pləˈtɒnɪk rɪˈleɪʃənʃɪp/ | ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กซ์ |
Single | /ˈsɪŋɡl/ | โสด |
Taken | /ˈteɪkən/ | มีแฟนแล้ว |
Unrequited Love (One-sided Love) | /ˌʌnrɪˈkwaɪtɪd lʌv/ | รักแบบข้างเดียว |
Ex-boyfriend/girlfriend | /ɛks-ˈbɔɪfrɛnd/ˈɡɜːlfrɛnd/ | แฟนเก่า |
Love-interest | /lʌv-ˈɪntrɛst/ | คนที่คบ/เดทกันแบบไม่ผูกมัด |

คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและคู่แข่ง
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและคู่แข่ง | ถอดเสียง | แปล |
Acquaintance | /əˈkweɪntəns/ | คนคุ้นเคย |
Classmate | /ˈklɑːsmeɪt/ | เพื่อนร่วมชั้น |
Schoolmate | /ˈskuːlmeɪt/ | เพื่อนร่วมโรงเรียน |
Soulmate | /səʊl meɪt/ | คู่แท้ |
Conflict | /ˈkɒnflɪkt/ | การขัดแย้ง |
Emulate | /ˈɛmjʊleɪt/ | การแข่งขัน |
Rival | /ˈraɪvəl/ | คู่แข่ง |
Enemy | /ˈɛnɪmi/ | ศัตรู |
Best friend | /bɛst frɛnd/ | เพื่อนสนิทที่สุด |
Close friend | /kləʊs frɛnd/ | เพื่อนสนิท |
Ally | /ˈælaɪ/ | สมาชิกในกลุ่ม |
Girlfriend | /gɜːl frɛnd/ | แฟน (ผู้หญิง) |
Boyfriend | /ˈbɔɪˌfrɛnd/ | แฟน (ผู้ชาย) |
On-off relationship | /ɒn-ɒf rɪˈleɪʃənʃɪp/ | ความสัมพันธ์รักๆเลิก ๆ |
Circle of friends | /ˈsɜːkl ɒv frɛndz/ | เพื่อน ๆ ในแก๊ง |
Childhood friend | /ˈʧaɪldhʊd frɛnd/ | เพื่อนในวัยเด็ก |

>>> Read more: คำว่า เพื่อนภาษาอังกฤษแปลเป็นคำไหนได้บ้าง
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในการทำงาน
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในการทำงาน | ถอดเสียง | แปล |
Coworker | /ˈkəʊˌwɜːkə/ | เพื่อนร่วมงาน |
Client | /ˈklaɪənt/ | ลูกค้า |
Business Partner | /ˈbɪznɪs ˈpɑːtnə/ | คู้ค้า |
Boss | /bɒs/ | นายจ้าง เจ้านาย |
Staff | /stɑːf/ | พนักงาน |
Customer | /ˈkʌstəmə/ | ลูกค้า |

วลีและสำนวนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภาษาอังกฤษ
สำนวน | แปล | ตัวอย่าง | ความหมาย |
Pop the question | ขอแต่งงาน | He finally popped the question last night. | ในที่สุดเขาก็ขอแต่งงานเมื่อคืนนี้ |
Get married | แต่งงาน | They are planning to get married next summer. | พวกเขาวางแผนจะแต่งงานกันในฤดูร้อนหน้า |
Flirt with | จีบ | He loves to flirt with his coworkers. | เขาชอบจีบเพื่อนร่วมงาน |
Have a crush on | แอบชอบใครซักคน | She has a crush on her neighbor. | เธอแอบชอบเพื่อนบ้านของเธอ |
Make friend with | เป็นเพื่อนกับใครคนหนึ่ง | It’s easy to make friends with him. | มันง่ายมากที่จะเป็นเพื่อนกับเขา |
Love at first sight | รักแรกพบ | They fell in love at first sight. | พวกเขาตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน |
Hit it off | ทำความรู้จักกับใครสักคนอย่างรวดเร็ว | We hit it off immediately. | เรากลายเป็นเพื่อนกันเร็วมาก |
Go back years | รู้จักใครสักคนมาเป็นเวลานาน | They go back years. | พวกเขารู้จักกันมานานแล้ว |
Settle down | สร้างครอบครัว | They want to settle down and start a family. | พวกเขาต้องการที่จะตั้งรกรากและเริ่มต้นสร้างครอบครัว |
Compete with | แข่งขันกับใครสักคน | She competes with her colleagues at work. | เขาแข่งขันกับเพื่อนร่วมงานของเขา |
Relate to | เกี่ยวข้องกับ | I can relate to his experience. | ฉันสามารถเล่าถึงประสบการณ์ของเขาได้ |
Hang out with | ไปเที่ยวกับใครสักคน | We often hang out with friends on weekends. | เรามักจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนในช่วงสุดสัปดาห์ |
Get on well with | เข้ากับใครสักคน | She gets on well with her in-laws. | เขาเข้ากับครอบครัวสามีได้ดี |
Lose touch with | ขาดการติดต่อ | I lost touch with my high school friends. | ผมขาดการติดต่อกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย |
Be flesh and blood | เลือดเนื้อเชื้อไข | She is always willing to reach out to thousands of unprivileged children even though they are not flesh and blood. | เธอยินดีเสมอที่จะช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสหลายพันคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขก็ตาม |
When the blood sheds, the heart aches | พี่น้องกันแบบรักกันมาก | When the blood sheds, the heart aches. He went to the hospital right after hearing his brother had had an accident. | ใช่นั้นแหละพี่น้องกัน เขาไปโรงพยาบาลทันทีหลังจากได้ยินว่าน้องชายของเขาประสบอุบัติเหตุ |
Like cat and dog | ไม่เห็นด้วย การทะเลาะวิวาท | My brother and I are like cats and dogs. We can argue about everything. | ฉันกับพี่ชายมักจะมีความเห็นไม่ตรงกัน เราสามารถถกเถียงกันได้ทุกเรื่อง |
A match made in heaven | คนที่ฟ้าส่งมาคู่กัน | They were a match made in heaven, therefore, when she passed away, he couldn’t fall in love with anyone anymore. | พวกเขาเป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดี ดังนั้นเมื่อเธอเสียชีวิตแล้ว เขาไม่สามารถรักใครได้อีก |
Love something/someone to death | รักใครสักคน/บางสิ่งมาก ๆ | You can’t change Maddie’s thoughts about her boyfriend. She is loving him to death. | คุณไม่สามารถเปลี่ยนใจแมดดี้เกี่ยวกับแฟนหนุ่มของเธอได้ เธอรักเขาจนตาย |
Be on nodding terms | ความสัมพันธ์แบบพอรู้จักทักทายกัน | We are just on nodding terms, I can’t ask her for a huge favor like that. | เราแค่พอรู้จักกัน ผมไม่สามารถขอให้เธอช่วยอะไรมากกว่านี้ได้ |
Know someone inside out | เข้าใจรู้จักใครสักคนเป็นอย่างดี | My mom knows me inside out, she will figure out everything soon. | แม่ของฉันรู้จักฉันเป็นอย่างดี เธอจะเข้าใจทุกอย่างในไม่ช้า |
Keep in touch with | ติดต่อกับใครบางคน | You should keep in touch with old friends; you don’t know when you might need them. | คุณควรติดต่อกับเพื่อนเก่าเพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะต้องการพวกเขาเมื่อไร |
See eye to eye with someone | เห็นด้วยกับใครบางคนเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง | I see eye to eye with other members of my team about the topic of the presentation. | ฉันเห็นด้วยกับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มของฉันเกี่ยวกับหัวข้อการนำเสนอ |
Keep yourself to yourself | อยู่แต่ตัวของตัว การสื่อสารเล็กน้อย | He kept himself to himself, which is why he didn’t have many friends. | เขาไม่ค่อยสื่อสารกับคนอื่น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีเพื่อนไม่มากนัก |

>>> Read more: 1001 Idiom สำนวนภาษาอังกฤษตามหัวข้อทั่วไป
วิธี ถามสถานะความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง ถามสถานะความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ | แปล |
Are you married? | คุณแต่งงานหรือยัง? |
Are you single or married? | คุณโสดหรือแต่งงานแล้ว? |
Do you have a spouse? | คุณมีภรรยา/สามีไหม? |
Is she/he your fiancé? | เธอ/เขาคือคู่หมั้นของคุณใช่ไหม? |
Are you in a relationship? | คุณอยู่ในความสัมพันธ์ใช่ไหม? |
How long have you been married? | คุณแต่งงานมานานแค่ไหนแล้ว? |
Are you engaged? | คุณหมั้นแล้วหรือยัง? |
How did you meet your partner? | คุณพบกับคู่ของคุณได้อย่างไร? |
Do you have any children? | คุณมีลูกหรือยัง? |
What do you love most about your partner? | คุณรักอะไรมากที่สุดเกี่ยวกับคู่ของคุณ? |
How do you handle conflicts in your relationship? | คุณจะแก้ไขข้อขัดแย้งในความสัมพันธ์ของตัวเองได้อย่างไร? |

บทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ภาษาอังกฤษ
A: Hey, you know who the girl with Ken is? (นี่ เธอรู้ไหมว่าผู้หญิงที่ไปกับเคนคือใคร?)
B: That’s his cousin. Her family recently moved to this city. (อ๋อ นั่นคือลูกพี่ลูกน้องของเขา ครอบครัวของเธอเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้)
A: Transferring schools will have to get acquainted from the beginning. Hard right. (การย้ายโรงเรียนจะต้องเริ่มทำความคุ้นเคยใหม่ มันยากใช่มั้ย?)
B: Yes, but with a cousin it should be better. But then you care about her? (ใช่แล้ว แต่การมีลูกพี่ลูกน้องจะทำให้ดีขึ้นว่าแต่คุณสนใจเธอเหรอ?)
A: Well, she’s pretty. (ใช่ก็เพราะเธอสวย)
B: Isn’t it love at first sight? (มันไม่ใช่รักแรกพบเหรอ?)
A: Not sure, but she’s my taste. (ไม่แน่ใจ แต่เธอเป็นสเปคของฉัน)
B: Please Ken how to get in touch. (ขอวิธีติดต่อจากเคนหน่อยสิ)
A: Wait for him to come back. (รอให้เขากลับมาก่อนนะ)
B: But how is she related to Ken? (แล้วเธอเกี่ยวข้องกับเคนยังไงเหรอ?)
A: Looks like Uncle Ken’s daughter. Relatives are also close. (หน้าเหมือนลูกคุณลุงของเคนเลย ญาติสนิทด้วย)
B: But we never heard of it. It’s strange? (แต่เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แปลกเนอะ)
A: Yes, people just moved in. Have a look at you all the time. (ใช่ พวกเขาเพิ่งย้ายเข้ามา ดูความตื่นเต้นของคุณสิ)
B: Not at all. (เปล่านะ)

>> Read more: รวมประโยคจีบมากกว่า 100 ประโยคในภาษาอังกฤษที่จะทําให้คนที่คุณชอบตกหลุมรัก
คำถามที่พบบ่อย
ไม่มีความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ คืออะไร
ไม่มีความสัมพันธ์ภาษาอังกฤษ คือ No longer in a relationship หรือว่า Not in a relationship
สถานะความสัมพันธ์ ต่างๆ คืออะไร
สถานะความสัมพันธ์ ต่างๆ คือ single, in a relationship, married,…
ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ คืออะไร
ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษคือ Gradually develop relationships
เดินออกมาจากความสัมพันธ์ภาษาอังกฤษ คืออะไร
เดินออกมาจากความสัมพันธ์ภาษาอังกฤษ คือ Step out of a relationship หรือ Walk away from a relationship
จริงจังกับ ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ คืออะไร
จริงจังกับ ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ ก็คือ Serious in relationships
ด้านบนนี้เป็นการรวบรวมคำศัพท์เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ หวังว่าการแบ่งปันข้างต้นจะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีแสดงความสัมพันธ์ในภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ อย่าลืมเข้าชม ELSA Speak เพื่ออัปเดทความรู้ด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษในทุกวันนะ
คำกริยาช่วย (Auxiliary verb) เป็นองค์ประกอบสำคัญทำให้ประโยคมีความหมายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ช่วยให้ผู้พูดแสดงถึงการขอร้อง ความสามารถ ความจำเป็น… ในประโยค ในบทความนี้ ELSA Speak จะสรุปกฎเกณฑ์ต่างๆ ประเภท และวิธีการใช้คำกริยาช่วยในภาษาอังกฤษ ช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Auxiliary verb meaning?
Auxiliary Verbs (คำกริยาช่วย) คือคำกริยารองที่วางอยู่หน้าคำกริยาหลักในประโยค เพื่อเสริมความหมายและทำให้ประโยคมีความชัดเจนยิ่งขึ้น Auxiliary verb จะทำหน้าที่สร้างรูปกาล (tense) การทำให้ประโยคเป็นปฏิเสธหรือคำถาม คำกริยาช่วยจะเปลี่ยนรูปตามประธานหรือกาล (tenses)
Auxiliary verb อ่านว่า /ɔːɡˈzɪliəri vɜːrb/
ในภาษาอังกฤษมีคำกริยาช่วย 12 คำ คือ be, have, do, can, may, will, must, need, shall, ought (to), used (to), dare โดยมี:
- 9 Modal verbs: can, may, must, will, shall, need, ought (to), dare และ used (to)
- 3 Auxiliary verb ที่พบบ่อยที่สุดคือ: be, do, have
Auxiliary verb ตัวอย่างประโยค :
- The children are swimming in the pool. (เด็กๆ กำลังว่ายน้ำในสระ)
- She could play the piano when she was five. (เธอสามารถเล่นเปียโนได้เมื่อเธออายุ 5 ขวบ)

Types of auxiliary verbs
คำกริยาช่วย Verb To Be
คำกริยาช่วย To Be (am, is, are, was, were) จะถูกใช้ร่วมกับคำกริยาหลักเพื่อสร้างรูปประโยคที่เป็น Passive หรือ Continuous
การผันคำกริยา “To Be” ตามกาล:
กาล | ประโยคบอกเล่า | ประโยคปฏิเสธ | ประโยคคำถาม |
ปัจจุบัน | am/is/are | am not/is not/are not | Am/Is/Are …? |
อดีต | was/were | was not/were not | Was/Were …? |
อนาคต | will be | will not be | Will … be? |
ปัจจุบันต่อเนื่อง | am/is/are being | am not/is not/are not being | Am/Is/Are … being? |
อดีตต่อเนื่อง | was/were being | was not/were not being | Was/Were … being? |
ปัจจุบันสมบูรณ์ | have been | have not been | Have … been? |
อดีตสมบูรณ์ | had been | had not been | Had … been? |
อนาคตสมบูรณ์ | will have been | will not have been | Will … have been? |
>>> Read more: 12 tense ในภาษาอังกฤษ: โครงสร้าง หลักการใช้ และสัญญาณการรับรู้
การผันคำกริยา “To Be” ตามประธาน:
ประธาน | ปัจจุบัน | อดีต | อนาคต | ปัจจุบันต่อเนื่อง | อดีตต่อเนื่อง | ปัจจุบันสมบูรณ์ | อดีตสมบูรณ์ | อนาคตสมบูรณ์ |
I | am | was | will be | am being | was being | have been | had been | will have been |
You | are | were | will be | are being | were being | have been | had been | will have been |
He/She/It | is | was | will be | is being | was being | has been | had been | will have been |
We/They | are | were | will be | are being | were being | have been | had been | will have been |
ตัวอย่าง:
- รูปประโยค Passive: He was imprisoned for two years. (เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปี)
- รูปประโยค Continuous: I am doing exercise. (ฉันกำลังออกกำลังกายอยู่)
สำนวนที่เกี่ยวข้องกับคำกริยาช่วย To Be:
สำนวน | ความหมาย | ตัวอย่าง |
be able to | สามารถ มีความสามารถ | I am not able to get high points. (ฉันไม่สามารถมีคะแนนสูงได้) He is able to speak English fluently. (เขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว) |
be about to | กำลังจะ | The plane is about to take off. (เครื่องบินกำลังจะบินขึ้น) Jasmine is about to clean her house. (จัสมินกำลังจะทำความสะอาดบ้าน) |
be apt to | มีทักษะ ชำนาญ | He’s apt to Maths. (เขามีทักษะทางคณิตศาสตร์) John’s apt to answer hard questions. (จอห์นมีทักษะในการตอบคำถามยากๆ) |
be bound to | แน่นอน มีแนวโน้ม | Gasoline prices are bound to go up. (ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะขึ้น) He’s late, but he’s bound to show up soon. (เขามาสาย แต่เขาจะมาถึงในไม่ช้าแน่นอน) |
be certain to | มั่นใจว่า อย่างแน่นอน | I make sure that he is certain to pass her exams. (ฉันมั่นใจว่าเขาจะสอบผ่านแน่นอน) I am certain to help you learn English. (ฉันจะช่วยคุณเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างแน่นอน) |
be due to | เนื่องจาก มีกำหนด | The bus is due to leave soon. (รถบัสมีกำหนดจะออกในไม่ช้า) The team’s success was due to all the members’ effort. (ความสำเร็จของทีมเกิดจากความพยายามของสมาชิกทุกคน) |
be going to | กำลังจะ | I am going to see my sister this weekend. (ฉันกำลังจะไปพบพี่สาวสุดสัปดาห์นี้) I’m going to get married next year. (ฉันตั้งใจจะแต่งงานปีหน้า) |
be liable to | มีแนวโน้มที่จะ | He is liable to come home soon. (เขามีแนวโน้มที่จะกลับบ้านเร็วๆ นี้ ) She studied hard last night. She’s liable to pass the exam. (เมื่อคืนนี้เธอตั้งใจเรียน เธอมีแนวโน้มที่จะสอบผ่าน) |
be sure to | แน่นอน | He’s sure to be waiting outside. (เขาจะรออยู่ข้างนอกอย่างแน่นอน) He is sure to win the championship. เขามั่นใจว่าจะคว้าแชมป์ได้อย่างแน่นอน) |
be likely to | มีโอกาสที่จะ | They’re likely to win by several goals. (พวกเขามีโอกาสที่จะชนะหลายประตู) We are likely to win the contract. (พวกเรามีโอกาสที่จะชนะสัญญาได้ ) |
be meant to | ควรจะ มีเจตนา | Are you meant to work overtime? (คุณมีเจตนาที่จะทำทำงานล่วงเวลาไหม?) This restaurant is meant to be excellent. (ร้านอาหารนี้ควรจะยอดเยี่ยมมาก) |
be supposed to | มีหน้าที่ที่จะ ถือเป็น | They are supposed to bring the cameras. (พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องนำกล้องมา) You’re supposed to finish your assignment right now. (คุณมีหน้าที่ที่จะต้องทำงานมอบหมายของคุณให้เสร็จตอนนี้) |
Auxiliary verb To Have
Auxiliary verb To Have (have, has, had) ถูกใช้เพื่อสร้างรูปประโยคที่เป็น Perfect Tense
ตัวอย่าง:
- I realized that I had met her before. (ฉันรู้ตัวว่าฉันเคยพบเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว)
- They have lived here for a long time. (พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว)
Auxiliary verb To Do
Auxiliary verb To Do (do, does, did) ถูกใช้เพื่อสร้างประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ และเน้นย้ำการกระทำ
ตัวอย่าง:
- ในประโยคปฏิเสธ: I don’t know how to speak Chinese. (ฉันไม่รู้วิธีพูดภาษาจีน)
- ประโยคคำถาม: Do you know how to cook? (คุณรู้วิธีทำอาหารไหม?)
- ประโยคเน้นการกระทำ: She does like you. (เขาชอบคุณจริงๆ นะ)
Modal verbs
คำกริยาช่วยพิเศษ (Modal verbs) ก็ถือว่าเป็นคำกริยาช่วยเช่นกัน เพราะมันช่วยเสริมความหมายให้กับคำกริยาหลัก แสดงถึงสถานะทางไวยากรณ์ และเน้นความหมายของประโยค คำกริยาที่ขาดไม่ได้ที่พบบ่อย เช่น:
คำกริยาช่วย | วิธีการใช้ | ปฏิเสธ/อดีต | ตัวอย่าง |
Can/could (สามารถ) | แสดงถึงความสามารถในปัจจุบันหรืออนาคตในประโยคคำถาม: แสดงการขออนุญาต อนุญาต ขอร้อง เสนอแนะ ฯลฯ | Can ในรูปอดีตคือ could และรูปปฏิเสธคือ can not (can’t) และ could not (couldn’t) | • I can see you tomorrow? (พรุ่งนี้ฉันสามารถเจอคุณได้ไหม?) • Can I use your phone? (ฉันขอใช้โทรศัพท์ของคุณได้ไหม?) |
May/might (อาจจะ บางที) | แสดงสิ่งที่อาจเป็นจริงหรืออาจเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตหรือเป็นการขออนุญาตอย่างสุภาพมากกว่า “can” | May ในรูปอดีตคือ might และรูปปฏิเสธคือ may not, might not | • She may be out shopping. (เธออาจจะกำลังไปซื้อของ) • May I borrow your car? (ฉันขอยืมรถของคุณได้ไหม?) |
Must (ต้อง) | แสดงความจำเป็นหรือบังคับในปัจจุบันและอนาคตให้คำแนะนำหรือคำร้องที่เน้นย้ำให้การสรุปที่สมเหตุสมผลและแน่นอน | Must ในรูปปฏิเสธคือ must not (mustn’t) | • Plants must get enough water and light. (พืชต้องได้รับน้ำและแสงเพียงพอ) • You must get up earlier in the morning. (คุณต้องตื่นให้เช้ากว่านี้) • You must keep it a secret. (คุณต้องเก็บเรื่องนั้นเป็นความลับ) |
Ought to (ควรจะ) | Ought to ใช้เพื่อแสดงถึงหน้าที่หรือข้อผูกพันที่ต้องทำ (ความจำเป็นน้อยกว่า must) | Ought to ในรูปปฏิเสธคือ ought not to | • You ought to start at once. (คุณควรจะเริ่มทันที) • She ought to see a doctor. (เธอควรไปพบหมอ) |
Will/would (จะ) | ทำนายความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ในอนาคตแสดงการตัดสินใจ ณ เวลาที่พูด | Will (จะ) ในรูปปฏิเสธคือ will not (won’t) และในรูปอดีตคือ would | • I will give my girlfriend a bouquet. (ฉันจะมอบช่อดอกไม้ให้แฟน) • I will come pick you up right away. (ฉันจะมารับคุณทันที) |

การใช้ Auxiliary verb
การสร้างกาลในประโยค
คำกริยาช่วยมักใช้ในการสร้างรูปกาลทางไวยากรณ์ต่าง ๆ ในประโยค ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างของเวลา ดังนั้น เมื่อใช้คำกริยาช่วยในประโยค คุณจะสามารถสื่อสารและอธิบายความคิดของคุณได้อย่างชัดเจนมากขึ้น (ในภาษาเขียน เจ้าของภาษาโดยทั่วไปมักจะใช้ auxiliary verb ตัวย่อ) คำกริยาช่วยมักใช้ในกาลต่อไปนี้:
กาล | โครงสร้าง | การใช้ | ตัวอย่าง |
Future Tense (will) | S + will (‘ll) + be + V (คำกริยาหลัก) +… | • กาลอนาคตในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษทั้งหมดใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต • สำหรับกาลอนาคต คุณต้องใช้คำกริยาช่วย “will” นำหน้าคำกริยาหลัก | He will be the first person to become a doctor in my village. (เขาจะเป็นคนแรกที่เป็นหมอในหมู่บ้านของฉัน) |
Continuous Tense (be) | S + be (ผันตามกาล) + V-ing (คำกริยาหลัก) + … | ใช้เพื่อแสดง: การกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน • รูปอดีตกาลต่อเนื่องกล่าวถึงการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต และมีการกระทำอื่นแทรกเข้ามา การกระทำทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต และการกระทำนั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง… • รูปอนาคตต่อเนื่องอธิบายการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เจาะจงในอนาคต | • I am working at the library. (ฉันกำลังทำงานที่ห้องสมุด) • He was playing games all night. (เขาเล่นเกมทั้งคืน) • They will be preparing dinner when you arrive. (พวกเขาจะเตรียมอาหารเย็นเมื่อคุณมาถึง) |
Perfect Tense (have) | S + have (ผันตามกาล) + V3 (คำกริยาแท้ในรูป Past Participle) + … | ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังคงส่งผลกระทบอยู่ • รูปปัจจุบันกาลสมบูรณ์ (Present Perfect) ใช้เมื่อกล่าวถึงการกระทำที่เสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังคงมีผลในปัจจุบัน • รูปอดีตกาลสมบูรณ์ (Past Perfect) ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ก่อนเหตุการณ์อื่นในอดีตที่กล่าวถึงในประโยค • รูปอนาคตกาลสมบูรณ์ (Future Perfect) ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในอนาคต | • We have finished class and are preparing to go home. (เราไม่มีเรียนแล้วและกำลังเตรียมตัว กลับบ้าน) • I had forgotten about the interview until I saw the notification on the phone. (ฉันลืมเรื่องการสัมภาษณ์จนกระทั่งเห็นการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์) • I will have done my housework before 10 o’clock this morning. (ฉันจะทำงานบ้านให้เสร็จก่อน 10 โมงเช้าวันนี้) |
Perfect Continuous (be และ have) | S + have (ผันตามกาล) + been + V-ing (คำกริยาหลัก) + … | ใช้เมื่ออธิบายการกระทำที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน • รูปอดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง (Past Perfect Continuous) ใช้เมื่ออธิบายการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงดำเนินต่อในปัจจุบัน • รูปอนาคตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง (Future Perfect Continuous) ใช้เมื่ออธิบายการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่และจะเสร็จสิ้นในภายหลัง | • I have been reading Harry Potter for months now. (ฉันอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์มาหลายเดือนแล้ว) • He had been living there for six years before he moved. (เขาอาศัยอยู่ที่นั่นหกปีก่อนที่จะย้ายไป) • By the end of this year, Ann will have been working in Bangkok Bank for 5 years. (สิ้นปีนี้ แอนจะทำงานที่ธนาคารกรุงเทพครบ 5 ปี) |

ในประโยคปฏิเสธ
โครงสร้าง:
S + กริยาช่วย (Auxiliary Verb) + not + กริยาหลัก (Main Verb) |
กริยาช่วยเพิ่ม “not” ด้านหลังเพื่อให้เป็นประโยคปฏิเสธ
ตัวอย่าง:
- She didn’t see them. (เธอไม่เห็นพวกเขา)
- Harry doesn’t know how to ride a bike. (แฮร์รี่ไม่รู้วิธีขี่จักรยาน)
- You shouldn’t eat too much fast food. (คุณไม่ควรกินอาหารจานด่วนมากเกินไป)

ในประโยคคำถาม
โครงสร้าง:
กริยาช่วย (Auxiliary Verb) + S + กริยาหลัก (Main Verb) |
กริยาช่วยถูกนำมาวางด้านหน้าเพื่อเป็นประโยคคำถาม
ตัวอย่าง:
- Do you smoke? (คุณสูบบุหรี่ไหม?)
- Will you do this lesson now? (คุณจะทำบทเรียนนี้ตอนนี้เลยใช่ไหม?)
- Can you send my letter to him? (คุณสามารถส่งจดหมายของฉันให้เขาได้ไหม?)
คำถามลงท้าย
ประโยคบอกเล่า:
โครงสร้าง:
กริยาช่วย (Auxiliary verbs) + not + S? |
ตัวอย่าง:
- He’s home already, isn’t he? (เขากลับบ้านแล้วใช่ไหม?)
- You are doing your homework, aren’t you? (คุณกำลังทำการบ้านอยู่ใช่ไหม?)
ประโยคปฏิเสธ:
โครงสร้าง:
กริยาช่วย (Auxiliary verbs) + S? |
ตัวอย่าง:
- We don’t have enough money, do we? (เรามีเงินไม่พอใช่ไหม?)
- Linda isn’t in class, is she? (ลินดาไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนใช่ไหม?)

>>> Read more:
- สรุปโครงสร้าง question tag และแบบฝึกหัด อยากเก่งภาษาอังกฤษ
- Do does ใช้ยังไง? หมายเหตุและแบบฝึกหัดการใช้ do does ในการสื่อสาร
ประโยคละ (ประโยคละส่วนที่ซ้ำออกไป)
โครงสร้าง:
S + กริยาช่วย (Auxiliary verbs) + กริยาหลัก (Main Verb) + … |
ตัวอย่าง:
I like coffee, and she likes coffee. (ฉันชอบกาแฟ และเธอก็ชอบกาแฟ)
= I like coffee, and she does too. (ฉันชอบกาแฟ และเธอก็ชอบกาแฟเหมือนกัน)
-> ในประโยคนี้ “does” ใช้แทน “likes coffee”
ประโยคเน้น
โครงสร้าง:
S + กริยาช่วย (Auxiliary verbs) + กริยาหลัก (Main Verb) + … |
กริยาช่วย do ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อเน้นย้ำความหมายในประโยค ในโครงสร้างนี้กริยาช่วย do จะถูกผันตามกาลและตามด้วยกริยาหลักในรูปแบบ Infinitive
ตัวอย่าง:
A: You probably don’t want to go home. (คุณอาจจะไม่อยากกลับบ้าน)
B: I do want to go home! (ฉันอยากกลับบ้านจริง ๆ!)

Auxiliary verb ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนเสียงของกริยา
คำกริยารูปต่าง ๆ ของ ‘to be’, ‘have’ และ ‘will’ สามารถใช้เป็นกริยาช่วยเพื่อแสดงน้ำเสียงของกริยาในประโยคได้ เรามาดูตัวอย่างการใช้กริยาช่วยเหล่านี้ในประโยค
Verb | Auxiliary Verb | Examples |
To be | Is | Football is played by Garry. (แกรีเล่นฟุตบอล) |
Are | Chocolates are liked by most children. (ช็อกโกแลตเป็นที่ชื่นชอบของเด็กส่วนใหญ่) | |
Was | Any sort of amendments to the bill was refused by the judge. (ผู้พิพากษาปฏิเสธการแก้ไขร่างกฎหมายต่างๆ) | |
Were | The documents for the loan proposal were being checked by the banking officials. (เอกสารข้อเสนอสินเชื่ออยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ธนาคาร) | |
Have | Have been | All the neighbours have been invited to the birthday party by Raam Kumar. (เพื่อนบ้านทุกคนได้รับเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดจาก Raam Kumar) |
Has been | He has been checked by the doctor. (เขาได้รับการตรวจจากหมอแล้ว) | |
Had been | The workers had been sent to protest against low wages by the company. (คนงานถูกส่งไปประท้วงต่อต้านค่าจ้างต่ำโดยบริษัท) | |
Will | Will be | The bus will be boarded by me at 8:30 p.m. tonight. (คืนนี้ฉันจะขึ้นรถบัสตอน 20:30 น.) |
Will have | The solution to the problem will have been delivered by the authorities, this time tomorrow. (พรุ่งนี้เจ้าหน้าที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในเวลานี้) |
>>> Read more: AM PM ใช้อย่างไรในภาษาอังกฤษ?
กริยาช่วยใช้เพื่อแสดงอารมณ์
รูปแบบต่าง ๆ ของกริยาช่วย ‘do’ ถูกใช้เพื่อแสดงอารมณ์ของประโยค ซึ่งมักจะใช้ในประโยคคำสั่งและคำถาม มาดูตัวอย่างกัน:
ตัวอย่าง:
- Do your children enjoy watching educational films? (ลูกของคุณชอบดูหนังเพื่อการศึกษาไหม?)
- Did she complete the work that was assigned to her? (เธอทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จหรือยัง?)
- Do not forget to bring the Bluetooth speaker when you come home tonight. (เมื่อกลับถึงบ้านคืนนี้ อย่าลืมนำลำโพง Bluetooth มาด้วย)
ข้อผิดพลาดทั่วไปในการใช้ Auxiliary verb
การผันประธานและกาลไม่ถูกต้อง
กริยาช่วยที่ใช้ในประโยคต้องผันตามประธานและกาลตามกฎ
ตัวอย่าง:
- She have a laptop. => ผิด (ประธาน “she” เป็นบุรุษที่สามเอกพจน์ กริยาต้องผันเป็นบุรุษที่สาม → has)
- She has a laptop. => ถูกต้อง
การใช้กริยาช่วยพิเศษไม่ถูกต้อง
กริยาช่วยพิเศษที่พบได้บ่อย เช่น can, may, shall, will,… ใช้เพื่อแสดงการอนุญาต คำแนะนำ หรือหน้าที่ หลายคนใช้ผิดหรือเข้าใจความหมายผิด
ตัวอย่าง:
- I should go swimming tomorrow (ฉันควรไปว่ายน้ำพรุ่งนี้): แสดงถึงหน้าที่
- I would go swimming tomorrow (ฉันจะไปว่ายน้ำพรุ่งนี้): แสดงถึงความเต็มใจ
การใช้กริยาช่วยมากเกินไปหรือขาดหายไป
การใช้กริยาช่วยมากเกินไปทำให้ประโยคซับซ้อนและยืดยาวเกินไป แต่ถ้าไม่ใช้กริยาช่วย ประโยคของคุณอาจไม่ชัดเจนและทำให้เข้าใจผิดได้ ดังนั้นควรใช้กริยาช่วยเมื่อจำเป็นเพื่อให้ประโยคชัดเจนและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
ตัวอย่าง:
- She is going to is going to the market. -> ผิด (ใช้กริยาช่วยมากเกินไป)
- She is going to the market. -> ถูกต้อง

Auxiliary verb exercise
แบบฝึกหัดที่ 1: เติมคำในช่องว่างต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
Can – couldn’t – must – may – should – ought to – might – will |
1. You …………. tell her the truth for your own good.
2. She …….. find her shoes anywhere.
3. They …………. arrive on time or else they will be in trouble.
4. Ann ……………. shoot the basketball at the rim.
5. ………. you let him know the time?
6. I …………….. not be trustworthy enough.
7. …….. her please pass the salt?
8. They ………. prepare for the big exam.
แบบฝึกหัดที่ 2: จงเลือกคำที่เหมาะสมที่สุด
1. You (must/shouldn’t/should) be 18 before you can drive in Japan.
2. You (don’t/mustn’t/have to/shouldn’t) go to bed so late.
3. You (must/needn’t/mustn’t) come. She can do it without you.
4. You (must/don’t have to/mustn’t) copy during exams.
5. Harry (doesn’t have to/shouldn’t/mustn’t) be very tall to play football.
แบบฝึกหัดที่ 3: ใช้ “must/mustn’t/have to/don’t have to/doesn’t have to” เพื่อเติมในช่องว่าง
1. Marry! I …………. study today because I’ve finished my exams.
2. We ……………………… use a mobile phone on a plane.
3. I can go out, but I ………………. be home by midnight.
4. John ………………… go to school by bus. He lives nearby.
5. They………….. cook tonight. They can get a pizza.
6. He …………….. get up early. He’s on holiday.
7. We…………… study harder or we are going to fail.
8. You ………… drive faster than 70 km/ h on the motorway.
เฉลย:
แบบฝึกหัดที่ 1:
1. should | 2. couldn’t | 3. must | 4. can |
5. may | 6. might | 7. could | 8. must |
แบบฝึกหัดที่ 2:
1. must | 2. shouldn’t | 3. needn’t | 4. mustn’t | 5. doesn’t have to |
แบบฝึกหัดที่ 3:
1. don’t have to | 2. mustn’t | 3. have to | 4. doesn’t have to |
5. don’t have to | 6. doesn’t have to | 7. must | 8. mustn’t |

ELSA Pro 1 year
2,499 บาท -> 1,499 บาท

ELSA Premium 3 เดือน
4,548 บาท -> 2,600 บาท

ELSA Premium 1 ปี
8,497 บาท -> 3,295 บาท
คำถามที่พบบ่อย
ความแตกต่างระหว่าง auxiliary verb and modal verbs คืออะไร?
Auxiliary verbs | Modal verbs | |
คำจำกัดความ | เป็นคำกริยาที่ใช้ร่วมกับกริยาหลักเพื่อสร้างรูปแบบของกาลเวลา ประโยคคำถาม หรือประโยคปฏิเสธ | เป็นคำกริยาที่แสดงถึงความสามารถ ความจำเป็น การอนุญาต ความแน่นอน ความสงสัย ฯลฯ |
หน้าที่หลัก | • สร้างรูปแบบของกาลเวลา: be (am, is, are), have, do • สร้างประโยคปฏิเสธ: มักใช้ร่วมกับคำว่า “not” • สร้างประโยคคำถาม: วางไว้หน้าประโยค • คำกริยาช่วยที่พบบ่อย: be, have, do | • แสดงความสามารถ: can, could • แสดงความจำเป็น: must, should • แสดงการอนุญาต: may, might • แสดงความแน่นอน: will, shall • ไม่มีรูปแบบ V-ing, V-ed • ไม่จำเป็นต้องใช้กริยาช่วยในการสร้างประโยคคำถามหรือปฏิเสธ • คำกริยาช่วยที่พบบ่อย: can, could, may, might, will, shall, must, should |
ตัวอย่าง | • I am reading a book. (ฉันกำลังอ่านหนังสือ) • She has finished her work. (เธอทำงานเสร็จแล้ว) • Do you like coffee? (คุณชอบกาแฟไหม?) | • I can speak English. (ฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้) • You should study harder. (คุณควรเรียนให้หนักขึ้น) • It might rain tomorrow. (พรุ่งนี้อาจจะมีฝนตก) |
กริยาช่วยพิเศษจัดอยู่ในประเภทของกริยาช่วย กริยาช่วยใช้ร่วมกับกริยาหลักเพื่อแสดงความตึงเครียด อารมณ์ หรือน้ำเสียง อย่างไรก็ตาม กริยาช่วยปกติไม่เหมือนกับกริยาช่วยพิเศษตรงที่เป็นไปตามข้อกำหนดระหว่างประธานและกริยา และต้องผันคำกริยาตามกาลและอารมณ์
ความแตกต่างระหว่างกริยาช่วย (auxiliary verbs) และกริยาหลัก (main verbs) คืออะไร?
Auxiliary Verbs | Main verbs | |
คำจำกัดความ | เป็นคำกริยาที่ใช้ร่วมกับกริยาหลักเพื่อสร้างรูปแบบของกาลเวลา หรือสร้างประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ | เป็นคำกริยาที่แสดงถึงการกระทำ สภาพ หรือเหตุการณ์หลักในประโยค |
หน้าที่หลัก | • สร้างรูปแบบของกาลเวลา: be (am, is, are), have, do • สร้างประโยคปฏิเสธ: มักใช้ร่วมกับคำว่า “not” • สร้างประโยคคำถาม: วางไว้หน้าประโยคคำกริยาช่วยที่พบบ่อย: be, have, do | • แสดงการกระทำ: ตัวอย่างเช่น run, jump, eat • แสดงสถานะ: ตัวอย่างเช่น be, seem, become… |
ตัวอย่าง | • I am reading a book. (ฉันกำลังอ่านหนังสือ) • She has finished her work. (เธอทำงานเสร็จแล้ว) • Do you like coffee? (คุณชอบกาแฟไหม?) | • She loves to dance. (เธอชอบเต้นรำ) • They are students. (พวกเขาเป็นนักศึกษา) |
Auxiliary verb มีกี่ตัว
Auxiliary Verb มีอยู่ทั้งหมด 24 ตัว
โดยสรุปแล้ว Auxiliary verb เป็นส่วนสำคัญของไวยากรณ์และมักพบในการเขียนและการพูด ดังนั้นเพื่อให้ได้คะแนนสูงในการสอบ และพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ควรจดจำเนื้อหาทางทฤษฎีที่ ELSA Speak ได้รวบรวมไว้ด้านบนนี้กันนะ
ประโยคคำถาม (interrogative sentence) ในภาษาอังกฤษคืออะไร? มีประโยคคำถามประเภทใดบ้าง? นี่คือส่วนหนึ่งของพื้นฐานไวยากรณ์ ที่คุณจะต้องทำความเข้าใจเท่านั้นจึงจะสามารถตั้งคำถามที่ถูกต้องในการสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ มาค้นหารายละเอียดกับ ELSA Speak ด้านล่างกันดีกว่า!
ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษคืออะไร?

ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษคือประโยคที่ถามข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือบางสิ่งบางอย่าง การใช้คำถามจะช่วยให้คุณยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงความสับสน และสร้างปฏิสัมพันธ์ในการสนทนาประจำวัน ในการจบประโยคคำถาม เราจะใส่เครื่องหมายคำถาม (?)
ตัวอย่างประโยคคำถาม :
- Do you like coffee? (คุณชอบกาแฟไหม?)
- You look so tired, you worked late last night, didn’t you? (คุณดูเหนื่อยมากนะ เมื่อคืนคุณทำงานดึกใช่ไหม?)
ประเภทของประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ
ประโยคคำถามรูปแบบ Yes/No (Yes/No Question)
สำหรับกริยา Verb to be
โครงสร้างประโยคคำถามของกริยา Verb to be
Tobe + S+ O+…? -> Yes, S + tobe. -> No, S + tobe not. |
ตัวอย่าง
- Are you happy? (คุณมีความสุขไหม?)
- Is he handsome? (เขาหล่อไหม?)
- Is the fish fresh? (ปลาสดไหม?)

สำหรับคำกริยาทั่วไป
กาล (Tenses) | โครงสร้าง | ตัวอย่าง |
กาลปัจจุบัน (Simple Present) | คำถาม: Do/Does + S + V ? | Do you like coffee? (คุณชอบกาแฟไหม?) |
คำตอบ: Yes, S + do/does. No, S + do/does + not. | Yes, I do. (ใช่ ฉันชอบ) No, I don’t. (ไม่ ฉันไม่ชอบ) | |
ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง (Present Continuous) | คำถาม: Am/Is/Are + S + V-ing ? | Are you studying English? (คุณกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่หรือเปล่า?) |
คำตอบ: Yes, S + am/is/are. No, S + am/is/are + not. | Yes, I am. (ใช่ ฉันกำลังเรียนอยู่) No, I’m not. (ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เรียน) | |
ปัจจุบันสมบูรณ์ (Present Perfect) | คำถาม: Have/Has + S + V-ed/3 ? | Have you finished your homework? (คุณทำการบ้านเสร็จหรือยัง?) |
คำตอบ: Yes, S + have/has. No, S + have/has + not. | Yes, I have. (ใช่ฉันทำการบ้านเสร็จแล้ว) No, I haven’t. (ไม่ ฉัน ทำการบ้านยังไม่เสร็จ) | |
ปัจจุบันสมบูรณ์แบบต่อเนื่อง (Present Perfect Continuous) | คำถาม: Have/Has + S + been + V-ing ? | Has she been working here for a long time? (เขาทำงานที่นี่มานานหรือยัง?) |
คำตอบ: Yes, S + have/has been. No, S + have/has + not + been. | Yes, she has. (ใช่ เขาทำงานที่นี่มานานแล้ว) No, she hasn’t. (ไม่ เขาไม่ได้ทำงานที่นี่มานานแล้ว) | |
อดีตกาล (Simple Past) | คำถาม: Did + S + V ? | Did you go to the party?(คุณได้ไปงานปาร์ตี้มาไหม?) |
คำตอบ: Yes, S + did. No, S + did + not. | Yes, I did. (ใช่ฉันไปมาแล้ว) No, I didn’t. (ไม่ ฉันไม่ไป) | |
อดีตกาลต่อเนื่อง (Past Continuous) | คำถาม: Was/Were + S + V-ing ? | Were they watching TV at 8 p.m.? (พวกเขาดูทีวีตอน 2 ทุ่มใช่ไหม?) |
คำตอบ: Yes, S + was/were. No, S + was/were + not. | Yes, they were. (ใช่ พวกเขาดูทีวี) No, they weren’t. (ไม่พวกเขาไม่ดูทีวี) | |
อดีตก่อนหน้า (Past Perfect) | คำถาม: Had + S + V-ed/3 ? | Had he left before you arrived? (เขาออกไปก่อนที่คุณจะมาถึงเหรอ?) |
คำตอบ: Yes, S + had. No, S + had + not. | Yes, he had. (ใช่ เขาออกไปแล้ว) No, he hadn’t. (ไม่ เขายังไม่ ไป) | |
อดีตกาลสมบูรณ์แบบต่อเนื่อง (Past Perfect Continuous) | คำถาม: Had + S + been + V-ing ? | Had they been waiting for long? (พวกเขาจะรอนานหรือเปล่า?) |
คำตอบ: Yes, S + had been. No, S had + not + been. | Yes, they had. (ใช่ พวกเขารอนานมาแล้ว) No, they hadn’t. (ไม่ พวกเขาไม่ได้รอนานเลย) | |
อนาคตกาล (Simple Future) | คำถาม: Will + S + V ? | Will you help me? (คุณจะช่วยฉันไหม?) |
คำตอบ: Yes, S + will. No, S + will + not. | Yes, I will. (ใช่ ฉันจะช่วยคุณ) No, I won’t. (ไม่ ฉันไม่ช่วยคุณ) | |
อนาคตกาลต่อเนื่อง (Future Continuous) | คำถาม: Will + S + be + V-ing ? | Will she be coming tomorrow? (พรุ่งนี้เขาจะมาไหม?) |
คำตอบ: Yes, S + will be. No, S + will not be. | Yes, she will. (ใช่ เขาจะมา) No, she won’t. (ไม่ เขาไม่มา) | |
อนาคตกาลที่สมบูรณ์แล้ว (Future Perfect) | คำถาม: Will + S + have + V-ed/3 ? | Will they have finished by noon? (เขาจะเสร็จภายในเที่ยงไหม?) |
คำตอบ: Yes, S will have. No, S will not have. | Yes, they will. (ใช่ เขาจะเสร็จ ) No, they won’t. (ไม่ เขาจะไม่เสร็จ) | |
อนาคตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง (Future Perfect Continuous) | คำถาม: Will + S + have been + V-ing ? | Will you have been working here for a year? (คุณจะทำงานที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีหรือเปล่า?) |
คำตอบ: Yes, S + will have been. No, S + will not have been. | Yes, I will. (ใช่ ฉันจะทำ) No, I won’t. (ไม่ ฉันจะไม่ทำ) |
สำหรับกริยาพิเศษ (Modal verbs)
โครงสร้าง
Modal verbs + S + V(bare) + O … ? -> Yes, S + modal verb. -> No, S + modal verb + not. |
ตัวอย่าง:
- Can you help me with this report? (คุณช่วยฉันทำรายงานนี้ได้ไหม?)
-> Yes, I can. (ได้ค่ะ/ครับ ฉันจะช่วยเอง)
-> No, I can’t. (ไม่ได้ค่ะ/ครับ ฉันช่วยไม่ได้)
- Would you like to join us for dinner? (คุณอยากจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพวกเราไหม?)
-> Yes, I would. (ได้สิ ฉันจะไปร่วม)
-> No, I wouldn’t. (ไม่ ฉันไปร่วมไม่ได้)

ประโยคคำถาม Wh-
โครงสร้าง | ความหมาย | ตัวอย่าง | |
What | What + be + S + … ? | สอบถามข้อมูล (อะไร) | What is your name?(คุณชื่ออะไร?) |
What + ? | ขอให้พูดซ้ำบางสิ่งบางอย่าง | What? I can’t hear you.(อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน) | |
What…for | What + did + S + do + that + for ? | ถามเหตุผล (ทำไม เพื่ออะไร) | What did you do that for?(คุณทำอย่างนั้นเพื่ออะไร?) |
When/What time | When/What time + be + S + … ? | ถามเวลา (When: เมื่อใด/What time: เวลาใด / กี่โมง) | When were you born?(คุณเกิดเมื่อไหร่?) What time did you leave home yesterday?(เมื่อวานคุณออกจากบ้านกี่โมง?) |
Where | Where + do/does + S + … ? | ถามเกี่ยวกับสถานที่ (ที่ไหน) | Where do you live?(คุณอาศัยอยู่ที่ไหน?) |
Which | Which + do/does + S + … ? | ถามตัวเลือก (อันไหน คนไหน) | Which color do you like?(คุณชอบสีไหน?) |
Who | Who + V-ed/3 ? | ถามเกี่ยวกับบุคคล – ประธาน (ใคร) | Who opened the door?(ใครเปิดประตู?) |
Whom | Whom + did + S + see ? | ถามเกี่ยวกับบุคคล – กรรม (ใคร) | Whom did you see yesterday?(เมื่อวานคุณเห็นใครบ้าง?) |
Whose | Whose + be + … ? | ถามถึงความเป็นเจ้าของ (ของใคร) | Whose is this car?(รถคันนี้เป็นของใคร?) |
Why | Why + do/does + S + … ? | ถามเหตุผล (ทำไม) | Why do you say that?(ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้น?) |
Why don’t | Why don’t + S + V ? | ข้อเสนอแนะ | Why don’t we go out tonight?(ทำไมเราไม่ออกไปข้างนอกกันคืนนี้ล่ะ?) |
How | How + does/do + S + V ? | ถามวิธีการทำ (อย่างไร) | How does this work?(มันทำงานอย่างไร?) |
How far | How far + be + S + from … ? | ถามระยะทาง (ไกลแค่ไหน) | How far is Hai Phong from Hanoi?(Hai Phong อยู่ห่างจาก Ha Noi แค่ไหน?) |
How long | How long + will + it + take + to V ? | ถามระยะเวลา (นานแค่ไหน) | How long will it take to fix my car?(การซ่อมรถของฉันจะใช้เวลานานเท่าไร?) |
How many | How many + be + there + … ? | ถามปริมาณ + จำนวน N (เท่าไหร่) | How many cars are there?(มีรถกี่คัน?) |
How much | How much + do/does + S + have ? | ถามปริมาณ + N นับไม่ได้ (เท่าไหร่) | How much money do you have?(คุณมีเงินเท่าไหร่?) |
How old | How old + be + S ? | ถามอายุ (อายุเท่าไหร่) | How old are you?(คุณอายุเท่าไร?) |

>>> Read more:
- WH question คืออะไร วิธีการใช้ WH question พร้อมตัวอย่างแบบละเอียด
- AM PM คือะไร? วิธีใช้ AM PM อย่างถูกต้องในภาษาอังกฤษ พร้อมรายละเอียดเพิ่มเติม
ประโยคคำถามเชิงคำถามประเภททางเลือก
ในประเภทประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ เรายังมีคำถามแบบเลือกตอบ “สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” อีกด้วย คุณสามารถระบุคำถามประเภทนี้ได้ด้วยคำว่า “or”
โครงสร้าง
Question word/Verb + Subject + Option 1 + or + Option 2? -> Subject + Verb + Option (1/2) |
ตัวอย่าง
- Shopping alone or shopping with friends, which do you prefer? (ช้อปปิ้งคนเดียวหรือช้อปปิ้งกับเพื่อน คุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน?)
- Should I wear sandals or high heels to this event? (ไปงานนี้ฉันควรใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าส้นสูง ?)
คำถามแท็ก (Tag Question)
คำถามแท็กเป็นรูปแบบประโยคคำถามในภาษาอังกฤษที่พบบ่อย ซึ่งคุณต้องเข้าใจว่าคำถามประเภทนี้ตั้งขึ้นตามหลักการ: หากประโยคหลักเป็นประโยคยืนยัน คำถามแท็กจะเป็นเชิงลบและในทางกลับกัน
Affirmative Statement (ประโยคบอกเล่า) + Auxiliary Verb (กริยานุเคราะห์) + Not + Subject + ? -> Yes, + Subject + Auxiliary Verb (กริยานุเคราะห์) -> No, + Subject + Auxiliary Verb (กริยานุเคราะห์) + Not |
ตัวอย่าง
- He is an art lover, isn’t he? (เขาเป็นคนรักศิลปะใช่ไหม?)
- You lost your keys, didn’t you? (คุณทำกุญแจหายใช่ไหม?)

50+ ประโยคคำถามภาษาอังกฤษทั่วไปตามหัวข้อ
ด้านล่างนี้เป็นการถามคำถามทั่วไปในภาษาอังกฤษเพื่อใช้อ้างอิง:
หัวข้อ | คำถาม | คำตอบ |
Personal Information (ข้อมูลส่วนตัว) | What’s your name? (คุณชื่ออะไร?) | Peter. (ปีเตอร์) |
Where are you from? Where do you come from? (คุณมาจากไหน?) | I’m from … I come from … (ฉันมาจาก…) | |
What’s your surname? What’s your family name? (นามสกุลของคุณคืออะไร?) | Smith. (สมิธ) | |
What’s your first name? (ชื่อจริงของคุณคืออะไร?) | Tom. (ทอม) | |
What’s your address? (ที่อยู่ของคุณคืออะไร?) | 7865 NW Sweet Street (7865 NW Sweet Street) | |
Where do you live? (คุณอาศัยอยู่ที่ไหน?) | I live in San Diego. (ฉันอาศัยอยู่ในซานดิเอโก) | |
What’s your telephone number? (หมายเลขโทรศัพท์ของคุณคืออะไร?) | 209-786-9845 | |
How old are you? (คุณอายุเท่าไหร่?) | Twenty-five. (อายุยี่สิบห้า) I’m twenty-five years old. ฉันอายุยี่สิบห้าปี) | |
When were you born? (คุณเกิดเมื่อไหร่?) Where were you born? (คุณเกิดที่ไหน?) | I was born in 1961. (ฉันเกิดเมื่อปีพ.ศ. 2504) I was born in Seattle. (ฉันเกิดที่ซีแอตเทิล) | |
Are you married? (คุณแต่งงานแล้วหรือยัง?) What’s your marital status? (คุณมีสถานภาพสมรสอย่างไร?) | I’m single. (ฉันโสด) | |
What do you do? What’s your job? (คุณทำงานอะไร?) | I’m a librarian. (ฉันเป็นบรรณารักษ์) | |
Where did you go? (คุณไปไหน?) | I went to a friend’s house. (ฉันไปบ้านเพื่อน) | |
What did you do? (คุณทำอะไร?) | We played video games. (พวกเราเล่นวิดีโอเกม) | |
Where were you? (คุณอยู่ที่ไหน?) | I was in New York for the weekend. (ฉันอยู่ที่นิวยอร์กในช่วงสุดสัปดาห์) | |
Have you got a car / job / house / etc.? (คุณมีรถ / งาน / บ้าน / ฯลฯ หรือไม่?) | Yes, I’ve got a car / job / house / etc. (ใช่ ฉันมีรถ / งาน / บ้าน / ฯลฯ) | |
Have you got any children / friends / books / etc.? (คุณมีลูก / เพื่อน / หนังสือ / ฯลฯ หรือไม่?) | Yes, I’ve got three children – two boys and a daughter. (ใช่ ฉันมีลูกสามคน – ผู้ชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน) | |
Can you play tennis / golf / football / etc.? (คุณเล่นเทนนิส / กอล์ฟ / ฟุตบอล / ฯลฯ ได้ไหม?) | Yes, I can play tennis / golf / football. (ใช่ ฉันเล่นเทนนิส/กอล์ฟ/ฟุตบอลได้) | |
Can you speak English / French / Japanese / etc.? (คุณพูดภาษาอังกฤษ / ฝรั่งเศส / ญี่ปุ่น / ฯลฯ ได้ไหม?) | No, I can’t speak English / French / Japanese. (ไม่ ฉันพูดภาษาอังกฤษ/ฝรั่งเศส/ญี่ปุ่นไม่ได้) | |
Could you speak English / French / Japanese when you were five / two / fifteen / etc. years old? (คุณพูดภาษาอังกฤษ / ฝรั่งเศส / ญี่ปุ่นได้ไหมเมื่อคุณอายุห้า / สอง / สิบห้า / ฯลฯ) | Yes, I could speak English / French / Japanese when I was five / two / fifteen years old. (ใช่ ฉันพูดภาษาอังกฤษ/ฝรั่งเศส/ญี่ปุ่นได้ตอนอายุห้า/สอง/สิบห้าปี) | |
Shopping (ช้อปปิ้ง) | How can I help you? ((ฉันสามารถช่วยคุณได้อย่างไร?) May I help you? (ฉันช่วยคุณได้ไหม?) | Yes, I’m looking for a sweater. (ใช่ ฉันกำลังมองหาเสื้อสเวตเตอร์) |
Can I try it on? (ฉันลองสวมดูได้ไหม?) | Sure, the changing rooms are over there. (แน่นอน ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น) | |
How much does it cost? How much is it? (ราคาเท่าไหร่?) | It’s $45. (ราคา 45 ดอลลาร์) | |
How would you like to pay? (คุณต้องการชำระเงินด้วยวิธีใด?) | By credit card. (ชำระด้วยบัตรเครดิต) | |
Can I pay by credit card / check / debit card? (ฉันสามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิต / เช็ค / บัตรเดบิตได้หรือไม่?) | Certainly, We accept all major cards. (แน่นอน เรารับบัตรเครดิตหลักๆทุกประเภท) | |
Have you got something bigger / smaller / lighter / etc.? (คุณมีสินค้าที่ใหญ่กว่า / เล็กกว่า / เบากว่า / ฯลฯ หรือไม่?) | Certainly, we’ve got bigger / smaller / lighter sizes as well. (แน่นอน เรามีขนาดที่ใหญ่กว่า/เล็กกว่า/เบากว่าด้วย) | |
Asking Something Specific (การถามบางสิ่งบางอย่างที่เฉพาะ) | What’s that? (นั่นอะไร?) | It’s a cat. (นั้นคือแมว) |
What time is it? (ตอนนี้กี่โมงแล้ว?) | It’s three o’clock. (ตอนนี้สามโมงแล้ว) | |
Can / May I open the window? (ฉันเปิดหน้าต่างได้ไหม?) | Certainly, It’s hot in here. (ได้เลย เพราะว่าที่นี่ร้อนมาก) | |
Is there a bank / supermarket / pharmacy / etc. near here? (มีธนาคาร / ซูเปอร์มาร์เก็ต / ร้านขายยา / ฯลฯ ใกล้ๆ ที่นี่ไหม? ) | Yes, There is a bank / supermarket / pharmacy on the next corner next to the post office. (มีสิ ใกล้ๆ นี้ มีธนาคาร / ซูเปอร์มาร์เก็ต / ร้านขายยาอยู่ตรงมุมถัดไปถัดจากที่ทำการไปรษณีย์) | |
Where is the nearest bank / supermarket / pharmacy / etc.? (ธนาคาร / ซูเปอร์มาร์เก็ต / ร้านขายยา / ฯลฯ ที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน?) | The nearest bank / supermarket / pharmacy is on 15th street. (ธนาคาร / ซูเปอร์มาร์เก็ต / ร้านขายยาที่ใกล้ที่สุดอยู่บนถนนสายที่ 15) | |
Who wrote / invented / painted / etc. the …? (ใครเป็นคนเขียน / คิดค้น / วาดภาพ / ฯลฯ …?) | Hemingway wrote “The Sun Also Rises”. (เฮมิงเวย์เขียนเรื่อง “The Sun Also Rises”) | |
Is there any water / sugar / rice / etc.? (มีน้ำ / น้ำตาล / ข้าว / ฯลฯ ไหม?) | Yes, there’s a lot of water / sugar / rice left. (มีสิ มีน้ำ / น้ำตาล / ข้าวเหลือเยอะมาก) | |
Are there any apples / sandwiches / books / etc.? (มีแอปเปิ้ล / แซนวิช / หนังสือ / ฯลฯ ไหม?) | No, there aren’t any apples / sandwiches / books left. (ไม่มีเลย แอปเปิ้ล / แซนด์วิช / หนังสือเหลือไม่เยอะมาก) | |
Is this your / his / her / etc. book / ball / house / etc.? (นี่คือหนังสือ / ลูกบอล / บ้าน / ฯลฯ ของคุณ / เขา / เธอ / ฯลฯ?) | No, I think it’s his ball. (ไม่ ฉันคิดว่าเป็นลูกบอลของเขา) | |
Whose is this / that? (นี่ / นั่น ของใคร?) | It’s Jack’s. (เป็นของแจ็ค) | |
Questions with ‘Like’ (คำถามด้วย “like”) | What do you like? (คุณชอบอะไร?) | I like playing tennis, reading and listening to music. (ฉันชอบเล่นเทนนิส อ่านหนังสือและฟังเพลง) |
What does he look like? (เขาหน้าตาเป็นอย่างไร?) | He’s tall and slim. (เขาสูงและผอม) | |
What would you like? (คุณชอบอะไร?) | I’d like a steak and chips. (ฉันชอบสเต็กและมันฝรั่งทอด) | |
What is it like? (มันดูเป็นไงบ้าง?) | It’s an interesting country. (เป็นประเทศที่น่าสนใจ) | |
What’s the weather like? (อากาศเป็นยังไง?) | It’s raining at the moment. (ตอนนี้ฝนตกอยู่) | |
Would you like some coffee / tea / food? (คุณอยากดื่มกาแฟ / ชา / อาหารไหม?) | Yes, thank you. I’d like some coffee / tea. (อยากสิ ขอบคุณนะ ฉันอยากดื่มกาแฟ/ชา) | |
Would you like something to drink / eat? (คุณอยากดื่ม / กินอะไรไหม?) | Thank you. Could I have a cup of tea? (ขอบคุณนะ ฉันขอชาสักถ้วยได้ไหม?) | |
Asking for an Opinion (คำถามเพื่อขอความคิดเห็น) | What’s it about? (เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?) | It’s about a young boy who encounters adventures. (เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายที่เผชิญกับการผจญภัย) |
What do you think about your job / that book / Tim / etc.? (คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับงานของคุณ / หนังสือเล่มนั้น / ทิม / ฯลฯ ?) | I thought the book was very interesting. (ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก) | |
How big / far / difficult / easy is it? (มันใหญ่ / ไกล / ยาก / ง่ายแค่ไหน ?) | The test was very difficult. (แบบทดสอบยากมาก) | |
How big / far / difficult / easy are they? (มันใหญ่ / ไกล / ยาก / ง่ายแค่ไหน ?) | The questions were very easy. (คำถามง่ายมาก) | |
How was it? (เป็นอย่างไรบ้าง?) | It was very interesting. (มันน่าสนใจมาก) | |
What are you going to do tomorrow / this evening / next week / etc.? (คุณจะทำอะไรพรุ่งนี้ / เย็นนี้ / สัปดาห์หน้า / ฯลฯ ?) | I’m going to visit some friends next weekend. (ฉันจะไปเยี่ยมเพื่อนๆ สุดสัปดาห์หน้า) | |
Suggestions (ข้อเสนอ) | What shall we do this evening? (เย็นนี้เราจะทำอะไร ?) | Let’s go see a film. (ไปดูหนังกันเถอะ) |
Why don’t we go out / play tennis / visit friends / etc. this evening? (ทำไมเราไม่ออกไปข้างนอก / เล่นเทนนิส / เยี่ยมเพื่อน / ฯลฯ เย็นนี้ล่ะ ?) | Yes, that sounds like a good idea. (ใช่แล้ว ฟังดูเป็นความคิดที่ดีนะ) |

ELSA Pro 1 year
2,499 บาท -> 1,499 บาท

ELSA Premium 3 เดือน
4,548 บาท -> 2,600 บาท

ELSA Premium 1 ปี
8,497 บาท -> 3,295 บาท
แบบฝึกหัดประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดที่ 1: เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถาม
- My sister always cooks food that I like.
- Mira is an English teacher at a famous university.
- My mother sings very well
- I drove more than 80km to meet her.
- She worked so hard to buy a new car.
แบบฝึกหัดที่ 2. เติมคำที่เหมาะสมลงในช่องว่าง
- ………….you text me?
- ………….Mary know how to use a laptop?
- ………….. the vegetables you buy at the supermarket?
- ……………car is this?
- ……………she a doctor or nurse?
แบบฝึกหัดที่ 3: สร้างคำถามเกี่ยวกับคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้
1/ She is buying two chickens at the supermarket.
2/ My son’s favorite subject is Biology.
3/ Yes, she is. (She is good at singing).
4/ I go to the barber’s once a month.
5/ He learnt Music in primary school.
6/ The weather is great.
7/ I need a day off to recharge my batteries.
8/ It took him 5 hours to travel by bus.
9/ She headed to the restaurant because she was hungry.
10/ The water bottle is 20 baht.
เฉลย
แบบฝึกหัดที่ 1
- Who always cooks food that you like?
- Who is an English teacher at a famous university?
- Does your mother sing well?
- What did you drive more than 80 km for?
- What does she work hard for?
แบบฝึกหัดที่ 2
1. Will | 2. Does | 3. Are | 4. Whose | 5. Is |
แบบฝึกหัดที่ 3
1/ How many chickens is she buying at the supermarket?
2/ What is your son’s favorite subject?
3/ Is she good at singing?
4/ How often do you go to the barber’s?
5/ What did he do in primary school?
6/ How is the weather?
7/ Why do you need a day off?
8/ How long did it take him to travel by bus?
9/ Why did she head to the restaurant?
10/ How much is the water bottle?
ข้างต้นเป็นความรู้เกี่ยวกับ ประโยคคำถาม ภาษาอังกฤษ หวังว่าการแบ่งปันข้างต้นจะช่วยให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้อย่าลืมเข้ามาที่ ELSA Speak เป็นประจำเพื่ออัปเดทความรู้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณทุกวัน!
ในภาษาอังกฤษ AM PM มักใช้เพื่อพูดถึงช่วงเวลาของวัน แต่ AM คืออะไร? PM คืออะไร? AM PM ใช้งานอย่างไร? มาเรียนรู้อย่างละเอียดกับ ELSA Speak ด้านล่างนี้กันเลย!
AM PM คืออะไร? AM PM ย่อมาจากคำเต็มไหน?
AM คืออะไร (AM คือกี่โมง)

AM ย่อมาจาก Ante Meridiem เป็นภาษาละติน หมายความว่า “before midday” โดยใช้ในช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเที่ยงวัน
ตัวอย่าง
- The first election results are expected around 9 AM. (คาดว่าจะทราบผลการเลือกตั้งครั้งแรกประมาณ 9.00 น.)
- We fly out of Singapore late in the evening and arrive in New York at 7 AM the next morning. (เราบินออกจากสิงคโปร์ตอนค่ำและถึงนิวยอร์กเวลา 07.00 น. ในเช้าวันรุ่งขึ้น)
PM คืออะไร? (PM คือเวลาไหน)

PM ย่อมาจาก Post Meridiem เป็นภาษาละติน หมายความว่า “after midday” โดยใช้ในช่วงเวลาตั้งแต่ เที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน
ตัวอย่าง
- We’ll be arriving at about 4 PM. (เราจะถึงประมาณ 4 โมงเย็น)
- The 6 PM train is usually very crowded. (รถไฟรอบ 6 โมงเย็นมักจะมีผู้คนหนาแน่นมาก)
AM PM ใช้ยังไง

AM | PM | |
วิธีการใช้ AM PM | เริ่มนับเวลาตั้งแต่เที่ยงคืน (24.00 น.) ถึงก่อนเที่ยงวัน (11.59 น.) | เริ่มนับเวลาตั้งแต่เที่ยงวัน (12.00 น.) ถึงก่อนเที่ยงคืน (23.59 น.) |
ตัวอย่าง | I usually start my workday at 9:00 AM. (ฉันมักจะเริ่มวันทำงานในเวลา 9.00 น.) | The meeting is scheduled for 3:00 PM. (การประชุมกำหนดไว้เวลา 15.00 น.) |
ต้นกำเนิดของ AM PM

ระบบเวลา AM และ PM มีต้นกำเนิดมาจากการแบ่งกลางวันและกลางคืนออกเป็นสองรอบ 12 ชั่วโมง ในตอนแรก วงจรหนึ่งติดตามโดยตำแหน่งของดวงอาทิตย์ (กลางวัน) ในขณะที่อีกวงหนึ่งติดตามโดยดวงจันทร์และดวงดาว (กลางคืน) สิ่งนี้นำไปสู่การพัฒนาช่วงเวลา 12 ชั่วโมงสองช่วง ครั้งแรกเริ่มตอนเที่ยงคืน (midnight) และอีกช่วงหนึ่งเริ่มต้นเที่ยงวัน (noon)
นาฬิกาแบบ 12 ชั่วโมงมีต้นกำเนิดในอารยธรรมโบราณ เช่น เมโสโปเตเมียและอียิปต์ โดยมีนาฬิกาแดดและนาฬิกาน้ำแบ่งเวลาออกเป็น 12 ชั่วโมง ชาวโรมันยังใช้ระบบ 12 ชั่วโมง โดยแบ่งเวลากลางวันออกเป็น 12 ชั่วโมง และกลางคืนออกเป็น 4 ยาม
ในศตวรรษที่ 14 นาฬิกาจักรกลเรือนแรกใช้หน้าปัดแสดงเวลาแบบ 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามระบบ 12 ชั่วโมงได้ค่อยๆ กลายเป็นมาตรฐานในยุโรป ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 ระบบ 12 ชั่วโมงถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ในขณะที่ระบบ 24 ชั่วโมงยังคงอยู่สำหรับการใช้งานพิเศษ เช่น นาฬิกาดาราศาสตร์ปราก
ปัจจุบัน นาฬิกาแอนะล็อกส่วนใหญ่ใช้หน้าปัดแบบ 12 ชั่วโมง โดยบางรุ่นมีหน้าปัดเพิ่มเติมให้อ่านตามระบบ 24 ชั่วโมง ระบบ 12 ชั่วโมงยังคงได้รับความนิยมในจักรวรรดิอังกฤษและบางประเทศอื่นๆ ในขณะที่ระบบ 24 ชั่วโมงมักใช้ในการเขียนและในบริบทที่เป็นทางการ
>> Read more:
รายละเอียดตารางเวลาแบบ 12 ชั่วโมง และ 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม รูปแบบ 12 ชั่วโมง (AM และ PM) มีการใช้อย่างเป็นทางการในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฟิลิปปินส์ (ยกเว้นควิเบก)
ระบบ 12 ชั่วโมง
ระบบ | เวลา (12 ชั่วโมง) | สัญลักษณ์ |
เที่ยงคืน | 12:00 AM | AM |
ตี ๑ | 1:00 AM | AM |
ตี ๒ | 2:00 AM | AM |
ตี ๓ | 3:00 AM | AM |
ตี ๔ | 4:00 AM | AM |
ตี ๕ | 5:00 AM | AM |
๖ โมงเข้า | 6:00 AM | AM |
๗ โมงเข้า | 7:00 AM | AM |
๘ โมงเข้า | 8:00 AM | AM |
๙ โมงเข้า | 9:00 AM | AM |
๑๐ โมง | 10:00 AM | AM |
๑๑ โมง | 11:00 AM | AM |
เที่ยง | 12:00 PM | PM |
บ่ายโมง | 1:00 PM | PM |
บ่าย ๒ โมง | 2:00 PM | PM |
บ่าย ๓ โมง | 3:00 PM | PM |
๔ โมงเย็น | 4:00 PM | PM |
๕ โมงเย็น | 5:00 PM | PM |
๖ โมงเย็น | 6:00 PM | PM |
๑ ทุ่ม | 7:00 PM | PM |
๒ ทุ่ม | 8:00 PM | PM |
๓ ทุ่ม | 9:00 PM | PM |
๔ ทุ่ม | 10:00 PM | PM |
๕ ทุ่ม | 11:00 PM | PM |

ระบบ 24 ชั่วโมง
ระบบ | เวลา (24 ชั่วโมง) | สัญลักษณ์ (24 ชั่วโมง) |
เที่ยงคืน | 12:00 AM | AM |
ตี ๑ | 1:00 AM | AM |
ตี ๒ | 2:00 AM | AM |
ตี ๓ | 3:00 AM | AM |
ตี ๔ | 4:00 AM | AM |
ตี ๕ | 5:00 AM | AM |
๖ โมงเข้า | 6:00 AM | AM |
๗ โมงเข้า | 7:00 AM | AM |
๘ โมงเข้า | 8:00 AM | AM |
๙ โมงเข้า | 9:00 AM | AM |
๑๐ โมง | 10:00 AM | AM |
๑๑ โมง | 11:00 AM | AM |
เที่ยง | 12:00 PM | PM |
บ่ายโมง | 13:00 PM | PM |
บ่าย ๒ โมง | 14:00 PM | PM |
บ่าย ๓ โมง | 15:00 PM | PM |
๔ โมงเย็น | 16:00 PM | PM |
๕ โมงเย็น | 17:00 PM | PM |
๖ โมงเย็น | 18:00 PM | PM |
๑ ทุ่ม | 19:00 PM | PM |
๒ ทุ่ม | 20:00 PM | PM |
๓ ทุ่ม | 21:00 PM | PM |
๔ ทุ่ม | 22:00 PM | PM |
๕ ทุ่ม | 23:00 PM | PM |
>>> Read more: อ่านเวลาและพูดเกี่ยวกับเวลาได้อย่างไร? วิธีการบอกเวลาภาษาอังกฤษแบบมาตรฐาน
วิธีการอ่านและวิธีการเขียน AM PM
วิธีการอ่าน AM PM | ด้านล่างนี้คือวิธีการอ่าน AM PM เพื่อใช้อ้างอิง: • 7 AM อ่านว่า /ˈsɛvᵊn eɪ.ɛm/ (๗ โมงเข้า) • 6 AM อ่านว่า /sɪks eɪ.ɛm/ (๖ โมงเข้า)ในกรณีที่นาทีมีเลข 0 นำหน้า เมื่ออ่านจะใช้เสียง “oʊ” แทน เลข 0 ตัวอย่าง: 09:05 อ่านว่า /naɪn oʊ faɪv eɪ.ɛm/. (09.05 น.) นอกจากนี้ วิธีการอ่านเวลาเที่ยงคืนและการอ่านเวลาเที่ยงวันแตกต่างกับการอ่านระยะเวลาอื่นๆ จึงต้องแยกแยะช่วงเวลาเที่ยงคืนและเที่ยงวัน เราควรใช้คำ “noon” (เที่ยงวัน) และ “midnight” (เที่ยงคืน) เพื่อแสดงความหมายได้อย่างชัดเจน ตัวอย่าง • 2:25 PM อ่านว่า /tuː ˈtwɛnti-faɪv piː.ɛm/ (14.25 น.) • 12:00 AM อ่านว่า /twɛlv ˈmɪdnaɪt/ (24.00 น.) • 12:00 PM อ่านว่า /twɛlv nuːn/ (12.00 น.) อย่างไรก็ตาม หากในประโยคมีบริบทของเวลาที่ชัดเจนอยู่แล้ว คุณสามารถข้ามการเพิ่ม “AM” หรือ “PM” ได้ • ตัวอย่าง: If I wake up at 6 (), I will go to school on time. (ถ้าฉันตื่นตอน 6 โมงเช้า ฉันจะไปโรงเรียนตรงเวลา) ในกรณีนี้ ใครๆ ก็เข้าใจว่าการไปโรงเรียนคือตอนเช้า ดังนั้นเราจึงละเว้น “AM” ได้ |
วิธีการเขียน AM PM | หากคุณต้องการพูดหรือใช้ชั่วโมงที่เป็นเลขคู่ในการเขียน คุณสามารถเพิ่มคำว่า “o’clock” หลังชั่วโมงหรือพูดว่า “AM” และ “PM” ครั้งต่อไป ตัวอย่าง: • 09:00 AM คือ nine o’clock in the morning (9 โมงเข้า) • 05:00 คือ five o’clock in the afternoon (5 โมงเย็น) ถ้าต้องการพูดหรือใช้ในการเขียนชั่วโมงเป็นเลขคี่แต่ไม่เกิน 30 นาที ให้พูด/เขียนจำนวนนาทีก่อน แล้วตามด้วย “past” และชั่วโมงที่ผ่านมา ตัวอย่าง: 05:10 PM = ten past five (17:10 น.)ถ้าคุณต้องการพูดหรือใช้ในการเขียนชั่วโมงเป็นเลขคี่แต่ผ่านไป 30 นาที ให้พูด/เขียนนาทีที่เหลือก่อนชั่วโมงถัดไป จากนั้น “to” และชั่วโมงถัดไป ตัวอย่าง: 07:55 AM = five to eight (07:55 น.)สำหรับการอ่านและเขียนเวลาในภาษาอังกฤษแบบ British English ให้ใช้คำว่า “a quarter” เมื่อนาฬิกาแสดงเวลา 15 หรือ 45 นาที และใช้คำว่า “half” เมื่อนาฬิกาแสดงเวลา 30 นาที ตัวอย่าง: 07:15 . = a quarter past seven (07:15 น.) |
บทสนทนาใช้ AM PM ในภาษาอังกฤษ

- Sarah: Good morning, Alex! How are you today?
- Alex: Morning, Sarah! I’m good, thanks. Got in a bit late last night.
- Sarah: Late? What were you up to?
- Alex: Just catching up on some work. You know how it is.
- Sarah: I do. So, what’s on your agenda for today?
- Alex: Well, I have a meeting at 10 AM, and then I’m hoping to grab lunch around noon.
- Sarah: Sounds like a busy day. I usually hit the gym in the morning. Morning workouts set the tone for the day.
- Alex: That’s true. I’ve been meaning to join you some time. Maybe next week?
- Sarah: Alex: Well, after the meeting, I have a project deadline to meet. Should keep me occupied till around 6 PM.
- Sarah: Late evening, huh? Need some company for dinner? I know this great place that’s open until 9 PM.
- Alex: Sounds perfect! Let’s do it. I could use a break. Later in the afternoon, they decide to catch a movie that starts at 7:30 PM.
- Sarah: The movie starts at 7:30. Perfect timing, don’t you think?
- Alex: Agreed. We’ll grab a quick bite, and then it’s showtime. By the way, what’s the movie about?
- Sarah: It’s a comedy. We all need a good laugh sometimes, especially after a busy day.
- Alex: Couldn’t agree more. Alright, 7:30 PM it is!
การแปล
- Sarah: สวัสดีตอนเช้าอเล็กซ์ วันนี้คุณสบายดีไหม?
- Alex: สวัสดีตอนเช้านะซาราห์ ฉันสบายดี ขอบใจนะ เมื่อคืนฉันเข้าบ้านดึกไปหน่อย
- Sarah: ดึกเหรอ มัวทำอะไรอยู่?
- Alex: กำลังตามงานอยู่ คุณรู้ว่ามันเป็นยังไง
- Sarah: ฉันรู้ค่ะ แล้ววันนี้คุณมีกิจกรรมอะไรบ้างคะ?
- Alex: ฉันมีประชุมตอน 10.00 น. และคาดว่าจะทานอาหารกลางวันตอนเที่ยง
- Sarah: ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ยุ่งมาก ฉันจะไปยิมในตอนเช้า การออกกำลังกายตอนเช้าเป็นตัวกำหนดทิศทางของวัน
- Alex: จริง ฉันตั้งใจว่าจะไปกับคุณสักพักแล้วแต่อาจจะเป็นอาทิตย์หน้า?
- Sarah: แน่นอน! ยิ่งเยอะยิ่งสนุก แล้วแผนตอนเย็นของคุณล่ะ?
- Alex: หลังจากประชุม ฉันมีกำหนดส่งงาน ฉันน่าจะทำอะไรได้จนถึงประมาณ 6 โมงเย็น
- Sarah: ดึกแล้วเหรอ? หาเพื่อนกินข้าวเย็นหน่อยไหม? ฉันรู้จักร้านอาหารดีๆ ที่เปิดถึง 21.00 น.
- Alex: ฟังดูน่าสนใจมาก! ได้สิ ฉันอยากพักบ้าง แล้วช่วงบ่ายก็ตัดสินใจไปดูหนังรอบ 19.30 น.
- Sarah: หนังเริ่มฉายตอน 19.30 น. จังหวะเป๊ะเลย คุณคิดว่าไง?
- Alex: โอเค เราจะไปกินอะไรสักหน่อย จนถึงรอบฉายหนัง อ้อ แล้วหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร?
- Sarah: เป็นหนังตลก เราทุกคนต้องการหัวเราะกันสนุกสนานบ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะหลังจากวันที่ยุ่งวุ่นวาย
- Alex: เห็นด้วยอย่างยิ่ง เจอกัน 19.30 น. เลยนะ!
แบบฝึกหัดโดยใช้ AM PM
แบบฝึกหัด: ค้นหาและแก้ไขคำผิดจากประโยคต่อไปนี้
- My alarm goes off at 6 PM every morning.
- The meeting is scheduled for 10 AM tomorrow.
- We have a lunch reservation at 12 AM
- Her flight arrived at 3 AM yesterday afternoon.
- The gym opens at 5 AM, so I can work out before work.
- Our class starts at 8 AM sharp.
- The concert will begin at 7 AM tomorrow evening.
- I usually go to bed around 11 AM.
- Breakfast is served from 7 AM to 9 AM at the hotel.
- The movie screening is at 4 AM today.
เฉลย
1. 6 PM → 6 AM | 2. 10 AM → 10 AM | 3. 12 AM → 12 | 4. 3 AM → 3 PM | 5. 5 AM → 5 AM |
6. 8 AM → 8 AM | 7. 7 AM → 7 PM | 8. 11 AM → 11 PM | 9. 7 AM to 9 AM → 7 AM to 9 AM | 10. 4 AM → 4 PM |
คำถามที่พบบ่อย
6 AM กี่โมง?
6 AM คือ 6 โมงเช้า AM ย่อมาจาก Ante Meridiem หมายความว่า “before midday”
12 AM กี่โมง
12 AM คือเที่ยงคืนย่อมาจาก Ante Meridiem เป็นภาษาละติน หมายความว่า “before midday”
12 PM กี่โมง?
12 PM คือ เที่ยง PM ย่อมาจาก Post Meridiem เป็นภาษาละติน หมายความว่า “after midday”
Am กับ Pm ต่างกันยังไง
AM และ PM เป็นตัวย่อสองตัวที่ใช้เพื่อแยกแยะช่วงเวลาของวัน มีต้นกำเนิดจากละตินและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
- AM ย่อมาจาก Ante Meridiem หมายความว่า “before midday” AM หมายถึง เวลาตั้งแต่ กลางคืนถึงกลางวัน
- PM ย่อมาจาก Post Meridiem หมายความว่า “after midday” PM หมายถึงเวลาตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืน
PM คือ กลางวัน หรือ กลางคืน
PM หมายถึง ช่วงบ่ายและช่วงเย็น ระยะเวลาตั้งแต่ 12.00 น. ถึง 24.00 น.
AM คือ กลางวัน หรือ กลางคืน
AM คือช่วงเช้า เฉพาะเวลาตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ก่อน 12.00 น.
ตอนเที่ยง ภาษาอังกฤษ
ตอนเที่ยง ภาษาอังกฤษ คือ noonday, noon, midday, noontime
บทความข้างต้นเป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้ AM PM เป็นภาษาอังกฤษ หวังว่าการแบ่งปันข้างต้นจะช่วยให้คุณลดความสับสนเมื่อใช้ AM PM อีกครั้ง นอกจากนี้อย่าลืมเข้ามาที่ ELSA Speak เพื่ออัปเดทความรู้ภาษาอังกฤษล่าสุดทุกวันนะ!
อสังหาริมทรัพย์เป็นสาขาที่มีโอกาสในการทำงานและโอกาสก้าวหน้าสูง ดังนั้นการเข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางด้านอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการทำงานระดับนานาชาติหรือเมื่อทำงานด้านเอกสารและการเจรจาทางภาษาอังกฤษ วันนี้มาเรียนรู้กับ ELSA Speak เพื่อสำรวจคำศัพท์และบทสนทนาเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ กันเถอะ!
อสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษคืออะไร?

อสังหาริมทรัพย์คือ real property /rɪəl ˈprɒpəti/ หรือ real estate /ˈriːəl ɪsteɪt/ ในภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง:
- The real estate market has been booming in the past few years. (ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา)
- The lawyer specializes in real property law, advising clients on issues related to property transfers and zoning regulations. (ทนายความเชี่ยวชาญกฎหมายด้านอสังหาริมทรัพย์ ให้คำปรึกษาลูกค้าเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์และกฎระเบียบการแบ่งพื้นที่)
รวมคำศัพท์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษ
คำศัพท์อสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย

คําศัพท์ อสังหา ภาษาอังกฤษ | การสะกดคํา | ความหมาย |
Real estate | /rɪəl ɪsˈteɪt/ | อสังหาริมทรัพย์ |
Investor | /ɪnˈvɛstə/ | นักลงทุน |
Constructor | /kənˈstrʌktə/ | ผู้รับเหมาก่อสร้าง |
Real estate developer | /rɪəl ɪsˈteɪt dɪˈvɛləpə/ | นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ |
Construction supervisor | /kənˈstrʌkʃən ˈsjuːpəvaɪzə/ | ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง |
Architect | /ˈɑːkɪtɛkt/ | สถาปนิก |
Real estate agent | /rɪəl ɪsˈteɪt ˈeɪʤənt/ | ตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ |
Real estate broker | /rɪəl ɪsˈteɪt ˈbrəʊkə/ | นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ |
Project | /ˈprɒʤɛkt/ | โครงการ |
Investment construction project | /ɪnˈvɛstmənt kənˈstrʌkʃən ˈprɒʤɛkt/ | โครงการลงทุนก่อสร้าง |
Single house | /ˈsɪŋɡᵊl haʊs/ | บ้านเดี่ยว |
Town house | /taʊn haʊs/ | ทาวน์เฮ้าส์ |
Home office | /həʊm ˈɒfɪs/ | โฮมออฟฟิศ |
Prime location | /praɪm ləʊˈkeɪʃᵊn/ | ทำเลใจกลางเมือง |
CBD (Central Business District) | /ˈsɛntrəl ˈbɪznɪs ˈdɪstrɪkt/ | ย่านการค้า |
Resales | /ˈriːseɪlz/ | ขายต่อ (บ้านมือสอง) |
Developer | /dɪˈvɛləpə/ | นักลงทุน |
Infrastructure | /ˈɪnfrəˌstrʌkʧə/ | โครงสร้างพื้นฐาน |
Occupancy | /ˈɒkjəpᵊnsi/ | การครอบครอง (จำนวนอะพาร์ตเมนต์ที่ถูกครอบครอง) |
Low rise | /ləʊ raɪz/ | คอนโดที่สูงไม่เกิน 23 เมตร |
Floor plan | /flɔː plæn/ | แบบแปลน |
Fully fitted unit | /ˈfʊli ˈfɪtɪd ˈjuːnɪt/ | ห้องพร้อมเฟอร์นิเจอร์ขั้นพื้นฐานที่สมบูรณ์ |
Fully furnished unit | /ˈfʊli ˈfɜːnɪʃt ˈjuːnɪt/ | ห้องตกแต่งพร้อมอยู่พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบครัน |
Unit layout | /ˈjuːnɪt ˈleɪaʊt/ | เค้าโครงห้อง |
Under construction | /ˈʌndə kənˈstrʌkʃᵊn/ | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง |
Agent | /ˈeɪʤᵊnt/ | ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ |
Inspection | /ɪnˈspɛkʃᵊn/ | การตรวจสอบและควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง |
Interior | /ɪnˈtɪəriə/ | ภายใน |
Defect | /dɪˈfɛkt/ | ข้อบกพร่อง |
Built-in | /bɪltˈɪn/ | สิ่งที่สร้างเป็นส่วนถาวรในโครงสร้างที่ใหญ่กว่า |
Sales office | /seɪlz ˈɒfɪs/ | สำนักงานขาย |
คำศัพท์อสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสัญญาทางกฎหมาย

คำศัพท์ | การสะกดคํา | ความหมาย |
Legal documents | /ˈliːgəl ˈdɒkjʊmənts/ | เอกสารทางกฎหมาย |
Loan | /ləʊn/ | เงินกู้ |
Principal | /ˈprɪnsəpəl/ | ทุน (ต้องชำระ) |
Interest | /ˈɪntrɪst/ | ดอกเบี้ย (ต้องชำระ) |
Contract | /ˈkɒntrækt/ | สัญญา |
Agreement contract | /əˈgriːmənt ˈkɒntrækt/ | สัญญาข้อตกลง |
Deposit | /dɪˈpɒzɪt/ | เงินมัดจำ |
Breach | /briːʧ/ | การละเมิดสัญญา |
Appraisal | /əˈpreɪzəl/ | การประเมินราคา |
Assets | /ˈæsɛts/ | สินทรัพย์ |
Liquid assets | /ˈlɪkwɪd ˈæsɛts/ | สินทรัพย์สภาพคล่อง |
Beneficiary | /ˌbɛnɪˈfɪʃəri/ | ผู้รับผลประโยชน์/ฝ่ายรับผลประโยชน์ |
Bid | /bɪd/ | การประมูล |
Building permit | /ˈbɪldɪŋ ˈpɜːmɪt/ | ใบอนุญาตก่อสร้าง |
Charter capital | /ˈʧɑːtə ˈkæpɪtl/ | ทุนจดทะเบียน |
For sale | /fɔː seɪl/ | (อสังหาริมทรัพย์) มีไว้เพื่อขาย |
For lease | /fɔː liːs/ | (อสังหาริมทรัพย์/อะพาร์ตเมนต์) ให้เช่า |
Negotiate | /nɪˈgəʊʃɪeɪt/ | เจรจา |
Transfer | /ˈtrænsfəː/ | โอนกรรมสิทธิ์ |
Transfer deeds | /ˈtrænsfəː diːdz/ | การโอนโฉนด |
Application | /ˌæplɪˈkeɪʃən/ | แบบฟอร์มคำร้องขอสินเชื่อจำนอง |
Payment step | /ˈpeɪmənt stɛp/ | ขั้นตอนการชำระเงิน |
Montage | /mɒnˈtɑːʒ/ | หนี้จำนอง |
Bankruptcy | /ˈbæŋkrʌptsi/ | การล้มละลาย |
Capital gain | /ˈkæpɪtl ɡeɪn/ | กำไรจากการขายหลักทรัพย์ |
Buyer-agency agreement | /ˈbaɪər ˈeɪʤənsi əˈgriːmənt/ | ข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและตัวแทน |
Buy-back agreement | /ˈbaɪˌbæk əˈgriːmənt/ | ข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการ |
Contract agreement | /ˈkɒntrækt əˈgriːmənt/ | ข้อตกลงสัญญา |
Cooperation | /koʊˌɑːpəˈreɪʃən/ | ความร่วมมือ |
Office for rent | /ˈɔːfɪs fɔːr rɛnt/ | สำนักงานให้เช่า |
Overtime-fee | /ˈoʊvərˌtaɪm fiː/ | ค่าล่วงเวลา |
Payment upon termination | /ˈpeɪmənt əˈpɒn ˌtɜːrmɪˈneɪʃən/ | การชำระเงินเมื่อสิ้นสุดสัญญา |
Office for lease | /ˈɔːfɪs fɔːr liːs/ | สำนักงานให้เช่า |
คำศัพท์อสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับโครงการและก่อสร้าง

คำศัพท์ | การสะกดคํา | ความหมาย |
Project area | /ˈprɒʤɛkt ˈeərɪə/ | พื้นที่โครงการ |
Site area | /saɪt ˈeərɪə/ | พื้นที่ไซต์งาน |
Gross floor area | /grəʊs flɔːr ˈeərɪə/ | พื้นที่รวม |
Planning area | /ˈplænɪŋ ˈeərɪə/ | พื้นที่การวางแผน |
Floor layout | /flɔː ˈleɪaʊt/ | แผนผังของชั้นต่าง ๆ |
Apartment layout | /əˈpɑːtmənt ˈleɪaʊt/ | แผนผังอะพาร์ตเมนต์ |
Sample apartment | /ˈsɑːmpl əˈpɑːtmənt/ | ห้องตัวอย่าง |
Project management | /ˈprɒʤɛkt ˈmænɪʤmənt/ | การจัดการโครงการ |
Amenities | /əˈmiːnɪtiz/ | สิ่งอำนวยความสะดวก |
Master plan | /ˈmɑːstə plæn/ | แผนผังชั้นโดยรวม |
Quality assurance | /ˈkwɒlɪti əˈʃʊərəns/ | การรับประกันคุณภาพ |
Sale policy | /seɪl ˈpɒlɪsi/ | นโยบายการขาย |
Hand over | /hænd ˈəʊvə/ | การส่งมอบ |
Commencement date | /kəˈmɛnsmənt deɪt/ | วันที่เริ่มดำเนินการ |
Construction progress | /kənˈstrʌkʃən ˈprəʊgrəs/ | ความคืบหน้าการก่อสร้าง |
Residence | /ˈrɛzɪdəns/ | ห้องชุด |
Notice | /ˈnəʊtɪs/ | ประกาศ |
Procedure | /prəˈsiːʤə/ | ขั้นตอนการดำเนินการ |
Constructo | /kənˈstrʌktə/ | รับเหมาก่อสร้าง |
Commercial | /kəˈmɜːʃəl/ | เชิงพาณิชย์ |
Density of building | /ˈdɛnsɪti ɒv ˈbɪldɪŋ/ | ความหนาแน่นของการก่อสร้าง |
Protection of the environment | /prəˈtɛkʃən ɒv ði ɪnˈvaɪərənmənt/ | การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม |
Advantage/amenities | /ədˈvɑːntɪʤ əˈmiːnɪtiz/ | ข้อดี/สิ่งอำนวยความสะดวก |
Landscape | /ˈlændskeɪp/ | ภูมิทัศน์สวน |
Show flat | /ʃoʊ flæt/ | อะพาร์ตเมนต์จำลอง |
Coastal property | /ˈkoʊstəl ˈprɒpərti/ | ทรัพย์สินติดชายฝั่งทะเล |
Cost control | /kɒst kənˈtroʊl/ | การควบคุมต้นทุน |
Landmark | /ˈlændmɑːrk/ | พื้นที่สำคัญในเมือง |
Start date | /stɑːrt deɪt/ | วันที่เริ่มต้น |
Taking over | /ˈteɪkɪŋ ˈoʊvər/ | การส่งมอบ (โครงการ) |
Property | /ˈprɒpərti/ | อสังหาริมทรัพย์ |
>>> Read more: 150 คำศัพท์เกี่ยวกับอาชีพภาษาอังกฤษสำหรับทุกอาชีพ
คำศัพท์อสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอะพาร์ตเมนต์

คำศัพท์ | การสะกดคํา | ความหมาย |
Flat | /flæt/ | แฟลต |
Tenant | /ˈtɛnənt/ | ผู้เช่า |
Occupant | /ˈɒkjʊpənt/ | ผู้ครอบครอง |
Rent | /rɛnt/ | เช่า |
Lease | /liːs/ | สัญญาเช่า |
Sublease | /ˌsʌbˈliːs/ | แบ่งให้เช่า |
Evict | /ɪˈvɪkt/ | ไล่ที่หรือเรียกคืน |
Vacancy | /ˈveɪkənsi/ | ห้องพักว่างให้เช่า |
Landlord / Landlady | /ˈlænlɔːd/ / ˈlændˌleɪdi/ | เจ้าของที่ดิน |
Coastal | /ˈkəʊstəl/ | ใกล้ชายฝั่ง |
Detached | /dɪˈtæʧt/ | บ้านเดี่ยว |
Semi-detached | /ˈsɛmi-dɪˈtæʧt/ | บ้านแฝด |
Floor | /flɔː/ | ชั้น (เฉพาะที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน) |
Storey | /ˈstɔːri/ | ชั้นของตึกหรืออาคาร |
Lift / Elevator | /lɪft/ / ˈɛlɪveɪtə/ | ลิฟต์ |
Porch | /pɔːʧ/ | ลาน |
Balcony | /ˈbælkəni/ | ระเบียง |
Living room | /ˈlɪvɪŋ ruːm/ | ห้องนั่งเล่น |
Bedroom | /ˈbɛdruːm/ | ห้องนอน |
Bathroom | /ˈbɑːθruːm/ | ห้องน้ำ |
Kitchen | /ˈkɪʧɪn/ | ห้องครัว |
Furniture | /ˈfɜːnɪʧə/ | เฟอร์นิเจอร์ |
Air-conditioning | /eə-kənˈdɪʃnɪŋ/ | ระบบปรับอากาศ |
Electric system | /ɪˈlɛktrɪk ˈsɪstɪm/ | ระบบไฟฟ้า |
Water system | /ˈwɔːtə ˈsɪstɪm/ | ระบบน้ำ |
Common area | /ˈkɒmən ˈeərɪə/ | พื้นที่ใช้งานทั่วไป |
Parking lot | /ˈpɑːkɪŋ lɒt/ | บริเวณที่จอดรถ |
Room | /ruːm/ | ห้อง |
Floors | /flɔːrz/ | ชั้น |
Stairs | /stɛrz/ | บันได |
Wooden floors | /ˈwʊdən flɔːrz/ | พื้นไม้ |
Bungalow | /ˈbʌŋgəloʊ/ | บ้านยกพื้นชั้นเดียว มีระเบียงกว้าง |
Coastal villas | /ˈkoʊstəl ˈvɪləz/ | บ้านพักริมทะเล |
Detached Villa | /dɪˈtæʧt ˈvɪlə/ | บ้านเดี่ยว |
Duplex / Twin / Semi-detached Villa | /ˈduːplɛks/ / twɪn / ˈsɛmi-dɪˈtæʧt ˈvɪlə/ | บ้านแฝด |
Apartment / Condominium | /əˈpɑːrtmənt/ / ˌkɒndəˈmɪniəm/ | อะพาร์ตเมนต์ระดับไฮเอนด์ |
Orientation | /ˌɔːriɛnˈteɪʃən/ | การกำหนดตำแหน่ง |
Ceiling | /ˈsiːlɪŋ/ | เพดาน |
Window | /ˈwɪndoʊ/ | หน้าต่าง |
Electrical equipment | /ɪˈlɛkˌtrɪkəl ɪˈkwɪpmənt/ | เครื่องใช้ไฟฟ้า |
Electric equipment | /ɪˈlɛkˌtrɪk ɪˈkwɪpmənt/ | อุปกรณ์ไฟฟ้า |
Bathroom | /bæθ ruːm/ | ห้องน้ำ |
Dining room | /ˈdaɪnɪŋ ruːm/ | ห้องรับประทานอาหาร |
Living room | /ˈlɪvɪŋ ruːm/ | ห้องนั่งเล่น |
Kitchen | /ˈkɪʧɪn/ | ห้องครัว |
Built-up area | /bɪlt-ʌp ˈɛriə/ | ขอบเขตสิ่งปลูกสร้าง |
Garage | /ˈɡærɪʤ/ | โรงรถ |
Garden | /ˈɡɑːrdn/ | สวน |
Carpet area | /ˈkɑːrpɪt ˈɛriə/ | พื้นที่ปูพรม |
Saleable Area | /ˈseɪləbəl ˈɛriə/ | พื้นที่ก่อสร้าง |
Porch | /pɔrtʃ/ | ชายคา |
Balcony | /ˈbælkəni/ | ระเบียง |
Cottage | /ˈkɑːtɪʤ/ | กระท่อมหรือกระต๊อบ |
Terraced house | /ˈtɛrɪst haʊs/ | บ้านที่มีลักษณะเป็นตึกแถว |
Downstairs | /daʊnˈstɛrz/ | ชั้นล่างสุด |
Furniture | /ˈfɜːrnɪʧər/ | เฟอร์นิเจอร์ |
Yard | /jɑːrd/ | สนาม |
Decorating | /ˈdɛkəˌreɪtɪŋ/ | การตกแต่ง |
Air Condition | /ɛr kənˈdɪʃən/ | เครื่องปรับอากาศ |
Hallway | /ˈhɔlˌweɪ/ | โถงทางเดิน |
Wall | /wɔːl/ | ผนัง |
Shutter | /ˈʃʌtər/ | บานประตูหน้าต่าง |
>>> Read more: ที่อยู่ภาษาอังกฤษ จะเขียนยังไงให้ถูกต้อง?
ตัวอย่างประโยคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษ

ประโยค | ความหมาย |
Please contact the real estate broker via this number for more information regarding the property. | โปรดติดต่อนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ผ่านหมายเลขนี้เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอสังหาฯ |
First of all, I will run you through all the legal documents needed for your purchase. | อันดับแรก ฉันจะอธิบายเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการซื้อขายของคุณ |
I think we should negotiate before signing the contract. | ฉันคิดว่าเราควรเจรจาก่อนที่จะลงนามในสัญญา |
In the agreement contract, a deposit must be paid within 30 days, or else a breach will be imposed on you. | ในสัญญาข้อตกลงจะต้องชำระเงินมัดจำภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะเกิดการละเมิดสัญญา |
Can I look through the floor layout of this building? | ฉันสามารถดูแผนผังพื้นที่ของอาคารนี้ได้ไหม? |
What amenities are there in the residence? | ภายในหอพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง? |
When is the commencement date of this construction project? | โครงการก่อสร้างนี้จะเริ่มดำเนินการเมื่อไหร่? |
You can ask the real estate agent to give you a tour in one of our sample apartments before you make any decisions. | คุณสามารถขอให้ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์พาคุณเยี่ยมชมอะพาร์ตเมนต์ตัวอย่างของเราก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อได้ |
Is there any vacancy for lease in this building complex? | ตึกนี้มีห้องว่างให้เช่าไหม? |
We are offering a 50 square meter flat with 1 bedroom with a view to the sea at a reasonable price. | เราเสนอขายแฟลต 1 ห้อง ขนาด 50 ตารางเมตร พร้อมวิวทะเลในราคาที่สมเหตุสมผล |
We are looking for an apartment with 2 bedrooms. | เรากำลังมองหาอะพาร์ตเมนต์แบบ 2 ห้องนอน |
Does this property have a convenient parking lot? | ที่พักแห่งนี้อำนวยความสะดวกเรื่องที่จอดรถไหม? |
I’m looking for an apartment. | ฉันกำลังมองหาอะพาร์ตเมนต์ |
What price do you want the house to be? | คุณต้องการให้บ้านราคาประมาณเท่าไร? |
How many rooms do you want the apartment to have? | คุณต้องการให้อะพาร์ตเมนต์มีทั้งหมดกี่ห้อง? |
Do you want a parking space? | คุณต้องการที่จอดรถไหม? |
Do you have land you want to sell? | คุณต้องการขายที่ดินใช่ไหม? |
Do you pay by cash or card? | คุณจะจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตร? |
Do you need a mortgage? | คุณต้องการจำนองใช่ไหม? |
บทสนทนาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษ

ฝ่าย A: Hello! May I help you? (สวัสดีค่ะ/ครับ! มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า?)
ฝ่าย B: I want to buy a house. (ฉันต้องการซื้อบ้าน)
ฝ่าย A: Please come over here. Where do you want to buy a house? (เชิญทางนี้ค่ะ/ครับ คุณต้องการซื้อบ้านแถวไหน?)
ฝ่าย B: I want to find a Detached Villa in Pattaya. (ฉันต้องการหาบ้านเดี่ยวที่พัทยา)
ฝ่าย A: What price range can you pay? (คุณสามารถจ่ายได้ในราคาเท่าไร?)
ฝ่าย B: About $1 million. (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์)
ฝ่าย A: How many floors do you want the villa to have? (คุณต้องการให้บ้านมีทั้งหมดกี่ชั้น?)
ฝ่าย B: 3 floors, I think. (ฉันคิดว่าประมาณ 3 ชั้น)
ฝ่าย A: Here, we refer to a 3-storey villa in Grand Valley. It is just built on the outside structure. You can design the interior later. The master plan is 350 m2. However, the floor area is only about 270 m2, the rest is the garden area. (นี่ค่ะ/ครับ เรามีบ้านเดี่ยว 3 ชั้นในโครงการ Grand Valley ที่เพิ่งสร้างแค่โครงภายนอก คุณสามารถออกแบบภายในได้เอง พื้นที่รวมประมาณ 350 ตร.ม. แต่พื้นที่ใช้สอยเพียง 270 ตร.ม. ส่วนที่เหลือเป็นสวน)
ฝ่าย B: That’s great. Do you also support interior design? (เยี่ยมเลย คุณให้บริการออกแบบภายในด้วยหรือเปล่า?)
ฝ่าย A: Of course we do! Can you please tell us the furniture you want? (แน่นอนค่ะ/ครับ! คุณช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมว่าเฟอร์นิเจอร์ที่คุณต้องการเป็นแบบไหน?)
ฝ่าย B: I want the first floor to be a large living room. The second floor will have a master bedroom and a reading room. The third floor will be the kitchen, worship room, a guest bedroom, a drying yard and a front balcony. (ฉันอยากให้ชั้น 1 เป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ชั้นสองจะมีห้องนอนใหญ่และห้องอ่านหนังสือ ชั้นสามจะเป็นห้องครัว ห้องห้องสวดมนต์ ห้องนอนแขก ลานตากผ้า และระเบียง)
ฝ่าย A: What about the garden? (แล้วสวนล่ะคะ/ครับ?)
ฝ่าย B: I want to plant rows of flowers around the wall, a small sprinkler tank and a clearing for vegetables. (ฉันต้องการปลูกดอกไม้รอบๆ กำแพง มีแท็งค์น้ำเล็กๆ และพื้นที่ปลูกผัก)
ฝ่าย A: I got it! Do you have any further requests? (เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ คุณมีความต้องการอื่นเพิ่มเติมไหม?)
ฝ่าย B: Currently we do not have any requests. I will notify you when there is. (ตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้ามีจะบอกคุณทีหลังนะคะ/ครับ)
ฝ่าย A: Please fill out this registration form! (กรุณากรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนนี้ด้วยค่ะ/ครับ!)

คำถามที่พบบ่อย
อาชีพอสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ คืออะไร?
อาชีพอสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ คือ Real estate profession
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ คืออะไร?
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ คือ Real estate company
นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ คืออะไร?
นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ คือ Real estate broker
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ภาษาอังกฤษ คืออะไร?
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาษาอังกฤษคือ Real estate investment
ทั้งหมดนี้คือคำศัพท์เกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ ภาษาอังกฤษ ที่ ELSA Speak นำมาฝากคุณ นอกจากนี้ อย่าลืมเข้าไปที่ ELSA Speak เพื่ออัปเดตความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ ได้ทุกวันนะ!