Author: Bao Ngan Nguyen
อ่านนิทานภาษาอังกฤษอย่างบ่อยๆ จะช่วยให้คุณพัฒนาคลังคำศัพท์ ความสามารถในการคิดและเข้าใจ วันนี้ เรากับ ELSA Speak มาอ่าน นิทานภาษาอังกฤษ พร้อมแปล 9+ เรื่องที่มีงานแปลเพราะ อ่านง่ายในบทความนี้นะ
วิเคราะห์ 9+ นิทานภาษาอังกฤษมีงานแปลที่เพราะและอ่านง่าย
นิทานภาษาอังกฤษที่มีงานแปล หนูน้อยหมวกแดง

นิทานภาษาอังกฤษที่มีงานแปล หนูน้อยหมวกแดง | งานแปล |
Once upon a time, in a village, there was a sweet little girl named Little Red Riding Hood. One day, her mother asked her to take a basket of goodies to her sick grandmother, who lived in a cottage deep in the woods. Mum told her carefully that she mustn’t talk to strangers and went straight to grandma’s house. | กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งมีชื่อว่าหนูน้อยหมวกแดง ในวันหนึ่งแม่สั่งให้เธอไปบ้านคุณยายเพื่อมอบของขวัญให้ยายที่กำลังอาสัยอยู่ในป่าลึก ก่อนที่จะไป แม่เตือนเธออย่างระมัดระวังว่า อย่าพูดคุยกับคนแปลกหน้า และให้ตรงไปที่บ้านยายของเธอเท่านั้น |
Little Red Riding Hood happily put on her red hooded cloak and set off on her journey. Along the way, she met a sly wolf who asked her where she was going. Trusting and innocent, she told him about her errand. | เธอสวมเสื้อคลุมสีแดงด้วยความดีใจ แล้วออกเดินทาง ระหว่างทางเธอได้พบกับสุนัขป่าเจ้าเล่ห์มันถามเธอว่าเธอจะไปไหน ด้วยความไว้วางใจและบริสุทธิ์ของเธอ เธอจึงบอกให้หมาป่าฟังทั้งหมดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการเดินทาง |
The wolf, with wicked intentions, hatched a plan to reach the grandmother’s cottage before Little Red Riding Hood. He took a shortcut and arrived at the cottage first. The wolf disguised himself as the girl’s grandmother by wearing her nightcap and getting into her bed. | สุนัขป่าเจ้าเล่ห์มีเจตนาชั่วร้ายได้วางแผนไปบ้านคุณยายก่อนที่หนูน้อยหมวกแดงจะไปถึง มันรีบไปทางลัดเพื่อที่จะไปถึงก่อนสุนัขป่าปลอมตัวเป็นคุณยายโดยสวมหมวกคลุมศีรษะและปีนขึ้นไปบนเตียงของคุณยาย |
When Little Red Riding Hood arrived at the cottage, she was surprised to find her grandmother looking different. She noticed the big ears and sharp teeth but didn’t realize it was actually the wolf pretending to be her grandmother. | เมื่อหนูน้อยหมวกแดงมาถึงกระท่อมของคุณยายหนูน้อยหมวกแดงน่าประหลาดใจเพราะวันนี้ดูยายแปลกตามาก เธอสังเกตเห็นหูใหญ่และฟันแหลมคม แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคือสุนัขป่าที่แกล้งทำเป็นคุณยายของเธอ |
The wolf invited Little Red Riding Hood to come closer, intending to eat her. But just as the wolf was about to pounce, a brave woodsman happened to pass by and heard the commotion. He burst into the cottage and quickly figured out the wolf’s trickery. | สุนัขป่าล่อหนูน้อยหมวกแดงเข้ามาใกล้เพื่ออยากจะกินเธอ แต่ในขณะที่สุนัขป่ากำลังจะตะครุบ คนตัดไม้ผู้กล้าหาญก็บังเอิญเดินผ่านมาและได้ยินเสียงดัง เขารีบเข้าไปในบ้านและทันใดนั้น เขาพบว่าเป็นกลอุบายของหมาป่า |
Using his ax, the woodsman rescued Little Red Riding Hood and her grandmother. He chased the wolf away, and the two were safe once again. Little Red Riding Hood learned the importance of being cautious and not talking to strangers on her journey. | เขาจึงได้ใช้ขวานของตัวเอง เพื่อช่วยหนูน้อยหมวกแดงและคุณยายของเธอได้ เขาได้ไล่หมาป่าออกไปและทั้งสองคนก็ปลอดภัย หลังจากนั้น หนูน้อยหมวกแดงได้รับบทเรียนเรื่อง การระมัดระวังและไม่พูดคุยกับคนแปลกหน้าระหว่างการเดินทาง |
From that day forward, Little Red Riding Hood promised herself always to obey her mother’s warnings and stay on the path when venturing through the woods. So, she returned home, grateful for the woodsman’s heroism and the lesson she had learned. | ตั้งแต่วันนั้น หนูน้อยหมวกแดงสัญญาว่า จะเชื่อฟังแม่เสมอและใช้เส้นทางที่ถูกต้องเมื่อไปในป่า ดังนั้น เธอขอบคุณความกล้าหาญของคนตัดไม้และจดจำบทเรียนที่ได้รับ |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง นิทาน “หนูน้อยหมวกแดง” สอนให้เรารู้เกี่ยวกับความสำคัญของการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ หนูน้อยผิดไปแล้วที่เชื่อใจคนแปลกหน้านำความอันตรายต่อตนเองและคุณยาย โชคดีมากที่มีคนตัดไม้ที่กล้าหาญช่วยเหลือ หลังจากนั้น หนูน้อยหมวดแดงได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าเรื่องการระมัดระวังและขอบคุณน้ำใจของคนรอบข้าง
คำศัพท์
คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Village | /ˈvɪlɪdʒ/ | หมู่บ้าน |
Sweet | /swiːt/ | น่ารัก หวานใจ |
Mother | /ˈmʌðər/ | แม่ |
Basket | /ˈbæskɪt/ | ตะกร้า |
Goodies | /ˈɡʊdiz/ | อาหารอร่อย ขนม |
Grandmother | /ˈɡrænmʌðər/ | คุณยาย |
Cottage | /ˈkɒtɪdʒ/ | กระท่อม บ้านในชนบท |
Woods | /wʊdz/ | ป่า |
Strangers | /ˈstreɪndʒərz/ | คนแปลกหน้า |
Hooded cloak | /ˈhʊdɪd kləʊk/ | เสื้อคลุมมีหมวก |
Journey | /ˈdʒɜːrni/ | การเดินทาง ระยะทางที่เดิน |
Wolf | /wʊlf/ | สุนัขป่า, หมาป่า |
Innocent | /ˈɪnəsənt/ | บริสุทธิ์,ไร้เดียงสา |
Errand | /ˈɛrənd/ | ธุระ (หน้าที่) |
Wicked | /ˈwɪkɪd/ | ชั่วร้าย |
Shortcut | /ˈʃɔːrtˌkʌt/ | ทางลัด |
Disguised | /dɪsˈɡaɪzd/ | ปลอมตัว |
Surprised | /sərˈpraɪzd/ | ประหลาดใจ |
Sharp teeth | /ʃɑːrp tiːθ/ | ฟันแหลมคม |
Pretending | /prɪˈtɛndɪŋ/ | การเสแสร้ง |
Pounce | /paʊns/ | จู่โจม ตะครุบ |
Brave | /breɪv/ | กล้าหาญ |
Woodsman | /ˈwʊdzmən/ | คนตัดไม้ |
Rescued | /ˈrɛskjuːd/ | ช่วยเหลือ ช่วยให้รอด |
Cautious | /ˈkɔːʃəs/ | ระมัดระวัง |
นิทานภาษาอังกฤษ สั้นๆ กระต่ายและเต่า

นิทานภาษาอังกฤษ กระต่ายและเต่า | งานแปล |
Once upon a time, a hare went to a pool to quench his thirst. As a matter of chance, he saw a slow-moving tortoise over there and mocked him. The tortoise felt pinched and challenged the hare for a race. | กาลครั้งหนึ่ง มีกระต่ายป่าตัวหนึ่งไปที่ทะเลสาบ เพื่อดับกระหาย กระต่ายเห็นเต่าเคลื่อนตัวขึ้นช้าๆโดยบังเอิญและเยาะเย้ยเต่า เต่ารู้สึกห่อเหี่ยว จึงท้ากระต่ายให้แข่ง |
The hare accepted the challenge with a smile. The next morning, they both met at the starting point and the race began. As expected, the hare went far ahead of the tortoise. | กระต่ายยอมรับการท้าทายและยังหัวเราะอีกด้วย เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาไปที่จุดเริ่มต้นด้วยกันและเริ่มการแข่งขัน ตามที่คาดไว้ กระต่ายเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเต่า |
After covering more than half of the distance, he started feeling bored. As the tortoise was quite far behind, the hare thought of taking some rest. So he stopped and began eating blades of green grass. Having his head filled, he fell asleep. Nearby, he saw a shady bush and laid down under it. | หลังจากผ่านไปเกินครึ่งทางแล้ว กระต่ายก็เริ่มรู้สึกเบื่อ ดูเหมือนว่าเต่าจะอยู่ข้างหลังไปไกลมาก และกระต่ายก็คิดว่าจะพักสักหน่อย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ กระต่ายก็รู้สึกง่วงนอนกระต่ายเห็นพุ่มไม้เย็นๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ กระต่ายจึงนอนอยู่ใต้พุ่มไม้นั้น |
As for the tortoise, he constantly moved along at his slow pace and overtook the sleeping hare. He reached the destination point and won the race. When the hare awoke, it was fairly late. He feared that the tortoise might have passed by him. So he ran at a break-neck speed but reaching the destination point, was highly disappointed to find his rival already there as a winner. | ส่วนเต่าเดินต่อไปอย่างช้าๆ และเดินผ่านกระต่ายที่กำลังหลับอยู่ เต่าถึงเส้นชัยและชนะการแข่งขัน เมื่อกระต่ายตื่นขึ้นก็สายพอสมควร เขากลัวว่าเต่าจะผ่านมา ดังนั้น เขาจึงวิ่งด้วยความเร็วอย่างสุดชีวิต แต่พอถึงจุดปลายทาง รู้สึกผิดหวังอย่างมากที่พบว่าคู่แข่งของเขาเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง เรื่องนี้อยากสอนเราว่าก้าวช้าๆ แต่มั่นคง ย่อมชนะแน่นอน
คำศัพท์
คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Hare | /heər/ | กระต่ายป่า |
Quench | /kwɛntʃ/ | ดับ (กระหายน้ำ) |
Thirst | /θɜːrst/ | กระหายน้ำ |
Tortoise | /ˈtɔːr.təs/ | เต่า |
Mock | /mɒk/ | เยาะเย้ย |
Challenge | /ˈtʃæl.ɪndʒ/ | ท้า ท้าทาย |
Race | /reɪs/ | การแข่งขัน |
Starting point | /ˈstɑːrtɪŋ pɔɪnt/ | จุดเริ่มแรก |
Distance | /ˈdɪs.təns/ | ความห่างไกล |
Bored | /bɔːrd/ | เบื่อ |
Shady bush | /ˈʃeɪdi bʊʃ/ | พุ่มไม้ร่มรื่น |
Laid down | /leɪd daʊn/ | นอนลง |
Constantly | /ˈkɒnstəntli/ | อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด |
Break-neck speed | /ˈbreɪk nɛk spiːd/ | ความเร็วที่น่าเวียนหัว |
Rival | /ˈraɪ.vəl/ | คู่แข่ง |
นิทานภาษาอังกฤษ เด็กเลี้ยงแกะ

นิทานภาษาอังกฤษ เด็กเลี้ยงแกะ | งานแปล |
There was once a young Shepherd Boy who tended his sheep at the foot of a mountain near a dark forest. It was rather lonely for him all day, so he thought upon a plan by which he could get a little company and some excitement. | กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กชายคนหนึ่งไปเลี้ยงฝูงแกะที่ตีนเขาใกล้กับป่าทึบในทุกๆวัน เพราะรู้สึกเหงามาก เขาจึงคิดกลอุบาย เพื่อหลอกให้ทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อเป็นเพื่อนกับเขา |
He rushed down towards the village calling out “Wolf, Wolf,” and the villagers came out to meet him, and some of them stopped with him for a considerable time. This pleased the boy so much that a few days afterwards he tried the same trick, and again the villagers came to his help. | พอคิดเสร็จ เขารีบวิ่งลงไปที่หมู่บ้านและตะโกนว่า “หมาป่า หมาป่า” ชาวบ้านคิดว่ามีหมาป่าจริงก็เลยวิ่งออกมาเจอเขา จากนั้นชาวบ้านก็ได้หยุดดูหมาป่ากับเขาชั่วขณะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจมาก จนไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ลองใช้กลอุบายแบบเดียวกัน และชาวบ้านก็ต่างเข้ามาช่วยเหลือเขาอีกครั้ง |
But shortly after this a Wolf actually did come out from the forest, and began to worry the sheep, and the boy of course cried out “Wolf, Wolf,” still louder than before. | แต่ไม่นานหลังจากนั้น มีหมาป่าตัวหนึ่งออกมาจากป่าและเริ่มมองดูแกะของเขา เด็กชายกังวลและกลัวมากจึงตะโกนเสียงดัง “หมาป่า หมาป่า” |
But this time the villagers, who had been fooled twice before, thought the boy was again deceiving them, and nobody stirred to come to his help. | แต่ครั้งนี้ชาวบ้านไม่สนใจอีก เพราะคิดว่าเด็กชายยังคงหลอกลวงพวกเขาต่อไป |
So the Wolf made a good meal off the boy’s flock, and when the boy complained, the wise man of the village said: A liar will not be believed, even when he speaks the truth. | หมาป่าจึงได้กินฝูงแกะของเด็กผู้ชาย เมื่อเด็กชายบ่น นักปราชญ์ของหมู่บ้านก็พูดว่า คนโกหกจะไม่มีใครเชื่อ แม้ว่าเขาจะพูดความจริงก็ตาม |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง นิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะสอนให้เราบทเรียนที่สำคัญ “อย่าพูดโกหกคนอื่น เพราะถ้าคุณทำแบบนั้นหลาย ๆ ครั้ง ถึงแม้คุณจะพูดความจริง คนอื่นก็จะไม่เชื่อคุณ”
คำศัพท์
Từ vựng tiếng Anh คำ คำศัพท์ | ถอดเสียง | งานแปล |
Shepherd | /ˈʃɛpərd/ | คนเลี้ยงแกะ |
Tend | /tɛnd/ | เลี้ยง เฝ้าดูแล |
Sheep | /ʃiːp/ | แกะ |
Foot of a mountain | /fʊt ʌv ə ˈmaʊntɪn/ | ตีนเขา |
Dark forest | /dɑːrk ˈfɔːrɪst/ | ป่ามืด |
Lonely | /ˈloʊnli/ | เหงา |
Company | /ˈkʌmpəni/ | รวมตัวเป็นเพื่อนเพื่อคุยกัน |
Excitement | /ɪkˈsaɪtmənt/ | ตื่นเต้น |
Rush down | /rʌʃ daʊn/ | รีบวิ่งลง |
Villagers | /ˈvɪlɪdʒərz/ | ชาวบ้าน |
Considerable | /kənˈsɪdərəbl/ | จำนวนมาก |
Trick | /trɪk/ | กลอุบาย |
Deceive | /dɪˈsiːv/ | หลอกลวง |
Stirred | /stɜːrd/ | เคลื่อนไหว |
Flock | /flɒk/ | ฝูง โขยง (แกะ สัตว์) |
>>> Read more: คำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษที่พบบ่อยที่สุด
นิทานภาษาอังกฤษยาว เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ

It was terribly cold and nearly dark on the last evening of the old year, and the snow was falling fast. In the cold and the darkness, a poor little girl, with a bare head and naked feet, roamed through the streets. It is true she had on a pair of slippers when she left home, but they were not of much use. They were very large, so large, indeed, that they had belonged to her mother, and the poor little creature had lost them in running across the street to avoid two carriages that were rolling along at a terrible rate. One of the slippers she could not find, and a boy seized upon the other and ran away with it, saying that he could use it as a cradle when he had children of his own. So the little girl went on with her little naked feet, which were quite red and blue with the cold. | ในเย็นวันสุดท้ายของปีเก่า อากาศหนาวมากและเกือบมืด และหิมะก็ตกอย่างรวดเร็ว ในความหนาวเย็นและความมืดมิด มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารคนหนึ่ง ซึ่งมีศีรษะเปลือยเปล่า และเท้าเปล่าได้ตระเวนไปตามถนน เมื่อออกจากบ้านเธอก็ใส่รองเท้าแตะ แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก รองเท้าแตะคู่นั้นเป็นของแม่เธอ มันใหญ่มาก ในตอนนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่น่าสงสาร ที่หลงทางและวิ่งข้ามถนนตามกัน เพื่อที่จะหลบรถม้า 2 คัน ที่กำลังขับเคลื่อนไปตามถนนด้วยความเร็วที่สูงมาก รองเท้าแตะข้างนึงของเขาได้หายไป ทันใดนั้นเด็กผู้ชายได้ฉวยโอกาสหยิบรองเท้าแตะข้างอีกข้างของเธอไป แล้วพูดว่า เขาน่าจะนำมันไปทำเป็นเปลสำหรับลูกหมาของเขา เธอจึงต้องเดินบนพื้นเท้าของเธอแดงและเปลี่ยนเป็นสีม่วงเพราะความเย็น |
In an old apron, she carried a number of matches and had a bundle of them in her hands. No one had bought anything of her the whole day, nor had anyone given her even a penny. Shivering with cold and hunger, she crept along, poor little child, she looked at the picture of misery. The snowflakes fell on her long, fair hair, which hung in curls on her shoulders, but she regarded them not. | เธอที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนตัวเก่า ในมือถือไม้ขีดไฟจำนวนมาก และยังมีอีกบางส่วนที่ถูกห่อด้วยผ้าอยู่ในมือเธออีก ตลอดทั้งวันไม่มีใครซื้อไม้ขีดไฟจากเธออีกทั้งยังไม่มีใครให้เงินเธอแม้แต่1เพนนี เด็กน้อยตัวสั่นจากหนาว และความหิว เธอคลานไปตามทาง เด็กผู้หญิงที่น่าสงสาร เธอดูเป็นเหมือนกับภาพที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เกล็ดหิมะที่ตกลงมาบนตัวเธอ ตกลงบนผมหยิกสีทองของเธอที่ยาวมาถึงหัวไหล่ แต่เธอก็ยังไม่ถูกคนสนใจ |
Lights were shining from every window, and there was a savory smell of roast goose, for it was New-year’s eve – yes, she remembered that. In a corner, between two houses, one of which projected beyond the other, she sank down and huddled herself together. She had drawn her little feet under her, but she could not keep off the cold, and she dared not go home, for she had sold no matches, and could not take home even a penny of money. Her father would certainly beat her, besides, it was almost as cold at home as here, for they had only the roof to cover them, through which the wind howled, although the largest holes had been stopped up with straw and rags. | หน้าต่างของบ้านทุกหลังสว่างไสวและถนนก็เต็มไปด้วยกลิ่นของห่านย่าง ใช่แล้ววันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เธอจำวันเก่า ๆ ได้ ตอนที่คุณยายผู้ใจดีของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ฉลองวันส่งท้ายปีเก่าที่บ้านด้วย แต่ความตายมาพรากคุณยายของเธอไป โชคลาภหายไป และครอบครัวของเธอต้องออกจากบ้านที่น่ารัก โดยมีไม้เลื้อยปีนป่ายไปรอบๆ ที่ซึ่งเธอเคยอาศัยอยู่วันที่อบอุ่น เพื่อซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและได้ยินคำสบประมาทและคำสาปอยู่เสมอ เธอนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของกำแพงและดึงขาของเธอเข้าไปในตัว แต่ทุกครั้งที่เธอรู้สึกหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่สามารถกลับบ้านได้ ถ้าขายไม้ขีดไม่ได้พ่อจะทุบตีเธอ นอกจากนี้ที่บ้านก็หนาวพอๆกัน เพราะพ่อและลูกอาศัยอยู่ชั้นบนใกล้กับหลังคา แม้ว่าพวกเขาจะยัดเศษผ้าเข้าไปในรอยแตก แต่ลมก็ยังพัดเข้ามาในบ้าน |
Her little hands were almost frozen with the cold. Ah! Perhaps a burning match might be good, if she could draw it from the bundle and strike it against the wall, just to warm her fingers. She drew one out – “scratch!” how it sputtered as it burnt! It gave a warm, bright light, like a little candle, as she held her hand over it. It was really a wonderful light. It seemed to the little girl that she was sitting by a large iron stove, with polished brass feet and a brass ornament. How the fire burned! And seemed so beautifully warm that the child stretched out her feet as if to warm them, when, all the flame of the match went out, the stove vanished, and she had only the remains of the half-burnt match in her hand. | ตอนนี้มือของเธอก็แข็งทื่อ ถ้าเพียงแต่เธอสามารถหยิบไม้ขีดออกมาปัดเข้ากับผนังเพื่อทำให้นิ้วก้อยของเธออบอุ่นได้ล่ะ? ในที่สุดเธอก็เสี่ยงและเอาไม้ขีดออกมา เปลวไฟในตอนแรกเป็นสีน้ำเงิน แต่ค่อยๆ กลายเป็นสีขาวและเรืองแสงสีชมพูรอบๆ แท่งไม้ ดูสดใสและร่าเริงมาก เธออังมือบนไม้ขีดที่เปล่งประกายราวกับถ่าน เธอรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่หน้าเตาผิงเหล็กที่มีลายนูนสีบรอนซ์แวววาว ในเตาอบไฟก็ลุกโชนอย่างมีความสุขและแผ่ความร้อนอันอ่อนโยนออกมา ช่างน่ารื่นรมย์! มือของเธออุ่นขึ้นเหนือกองไฟ นิ้วหัวแม่มือของเธอก็ร้อน ในตอนที่เธอเหยียดขาเพื่ออบอุ่นร่างกายไฟก็ดับและเตาผิงก็หายไปทันที เธอนั่งอยู่ที่นั่นและถือไม้ขีดไฟจนหมด เธอตกใจและก็จำได้ว่าพ่อมอบหมายให้ขายไม้ขีด แล้วคืนนี้กลับบ้านพ่อจะด่าเธออย่างแน่นอน |
She rubbed another match on the wall. It burst into a flame, and when its light fell upon the wall it became as transparent as a veil, and she could see into the room. The table was covered with a snowy white tablecloth, on which stood a splendid dinner service, and a steaming roast goose, stuffed with apples and dried plums. And what was even more wonderful, the goose jumped down from the dish and waddled across the floor, with a knife and fork in its breast, to the little girl. | เธอปัดไม้ที่สอง มันลุกเป็นไฟและสว่างไสว ผนังดูเหมือนกลายเป็นม่านที่ทำจากผ้า เธอเห็นในบ้านจัดโต๊ะแล้ว มีผ้าปูโต๊ะเป็นสีขาวบริสุทธิ์และโต๊ะเต็มไปด้วยจานกระเบื้องล้ำค่ายังมีห่านย่างอีกด้วย แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือห่านกระโดดออกจากจานแล้วถือมีดและส้อมติดอยู่บนหลังเข้าหาตัวเธอ |
Then the match went out, and there remained nothing but the thick, damp, cold wall before her. She lit another match, and then she found herself sitting under a beautiful Christmas tree. It was larger and more beautifully decorated than the one which she had seen through the glass door at the rich merchant’s. Thousands of tapers were burning upon the green branches, and colored pictures, like those she had seen in the show windows, looked down upon it all. The little one stretched out her hand towards them, and the match went out. | จากนั้น…ไม้ขีดก็ดับลง เบื้องหน้าเธอมีเพียงกำแพงหนาและเย็นเฉียบ ความจริงได้เข้ามาแทนที่ความฝัน ไม่มีโต๊ะอาหารค่ำหรูหราเลยมีเพียงถนนรกร้าง หิมะสีขาวปกคลุมลมเหนือที่พัดแรงและผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาสองสามคนก็รีบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่อบอุ่นไปยังสถานที่ออกเดท โดยไม่สนใจความยากจนของเด็กขายไม้ขีด เธอปัดไฟอีกนัดและพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสที่สวยงาม |
The Christmas lights rose higher and higher, till they looked to her like the stars in the sky. Then she saw a star fall, leaving behind it a bright streak of fire. “Someone is dying,” thought the little girl, for her old grandmother, the only one who had ever loved her, and who was now dead, had told her that when a star falls, a soul was going up to God. | มันมีขนาดใหญ่กว่าและตกแต่งอย่างสวยงามยิ่งกว่าต้นสนที่เธอเห็นผ่านประตูกระจกที่บ้านของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง เทียนนับพันเล่มกำลังจุดอยู่บนกิ่งก้านสีเขียว และภาพวาดสีสันสดใสเช่นเดียวกับที่เธอเห็นในหน้าต่างแสดงมองลงไปทั้งหมด |
She again rubbed a match on the wall, and the light shone around her, in the brightness stood her old grandmother, clear and shining, yet mild and loving in her appearance. “Grandmother!” cried the little one, “O take me with you, I know you will go away when the match burns out, you will vanish like the warm stove, the roast goose, and the large, glorious Christmas tree.” | เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เอื้อมมือไปหาพวกเขาแล้วไม้ขีดก็ดับลง เธอคิดว่ามีคนตายไปแล้ว เพราะคุณยายของเธอเมื่อมีชีวิตอยู่เคยบอกกับเธอว่า “เมื่อดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่งก็หมายความว่ามีดวงวิญญาณลอยขึ้นไปสู่สวรรค์กับพระเจ้าแล้ว” เธอปัดไม้ขีดอีกครั้ง แล้วเธอเห็นแสงสีฟ้าส่องไปทั่วและคุณยายกำลังยิ้มกับเธอ เธอร้องไห้และพูดว่า “ยายคะ! ยายให้หนูไปกับยายได้ไหม เพราะหนูรู้ว่าเมื่อไม้ขีดไฟดับ คุณยายจะหายไปเหมือนเตาผิง ห่านย่าง และต้นคริสต์มาส แต่ยายอย่าทิ้งหนูไว้ที่นี่ เมื่อยายยังไม่ได้กลับไปหาพระเจ้า เราสองคนมีความสุขมากจริง ๆ ตอนนั้นยายเคยบอกว่าถ้าหนูเชื่อฟัง จะได้เจอยายอีกครั้ง หนูขอให้หนูได้ไปกับยายนะ หนูเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทรงปฏิเสธอหนูย่างแน่นอน” ไม้ขีดไฟดับและภาพลวงตาบนใบหน้าของเธอก็หายไปด้วย |
And she made haste to light the whole bundle of matches, for she wished to keep her grandmother there. And the matches glowed with a light that was brighter than the noon day, and her grandmother had never appeared so large or so beautiful. She took the little girl in her arms, and they both flew upwards in brightness and joy far above the earth, where there was neither cold nor hunger nor pain, for they were with God. | เธอจึงจุดไม้ขีดที่เหลือในกระเป๋า เธออยากให้ยายของเธอกลับมา ไฟเปล่งประกายเหมือนตอนกลางวัน และเธอไม่เคยเห็นยายของเธอใหญ่และสวยงามเช่นนี้มาก่อน คุณยายจับมือเธอและทั้งสองทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปอยู่ที่ไม่มีความหิว ไม่มีความหนาวสั่น หรือไม่มีความทุกข์ยากที่จะคุกคามพวกเขาอีกต่อไป เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ รีบจุดไม้ขีดทั้งมัดอย่างรวดเร็วเพราะเธออยากให้ยายยังอยู่และไม้ขีดไฟก็ให้แสงสว่างมากกว่าเที่ยงวัน คุณยายกอดเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมแขนและทั้งสองก็บินขึ้นไปด้วยแสงสว่างและความสุขไปไกลเหนือพื้นโลก ที่ซึ่งไม่มีความหนาวเย็น ความหิวโหย หรือความเจ็บปวดเพราะพวกเขาอยู่กับพระเจ้า |
In the dawn of morning there lay the poor little one, with pale cheeks and smiling mouth, leaning against the wall. She had been frozen to death on the last evening of the year, and the New-year’s sun rose and shone upon a little corpse! The child still sat, in the stiffness of death, holding the matches in her hand, one bundle of which was burnt. “She tried to warm herself,” said some. No one imagined what beautiful things she had seen, nor into what glory she had entered with her grandmother, on New-year’s day. | รุ่งเช้าทุกคนพบเด็กหญิงผู้น่าสงสารนอนอยู่ที่นั่น แก้มซีดปากยิ้มแย้มและกำลังพิงผนัง เด็กหญิงตัวนั้นตายในคืนสุดท้ายของปีเก่า และดวงอาทิตย์ของปีใหม่ก็ส่องแสงลงมาบนซากศพเล็ก ๆ ของเด็กหญิงที่ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น หนาวจนตาย ถือกำไม้ขีดจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือไหม้หมด บางคนกล่าวไว้ว่า “เด็กหญิงพยายามทำให้ตัวเองอบอุ่น” จะไม่มีใครจินตนาการถึงสิ่งสวยงามที่เธอได้เห็น หรือความรุ่งโรจน์ที่เธอได้รับร่วมกับคุณยายในวันปีใหม่ |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง นิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟนำมาบทเรียนอันลึกซึ้งเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจและการเอาใจใส่ เรื่องราวเน้นย้ำว่าภาพที่อบอุ่นและสวยงามอาจมาจากสถานการณ์ที่เจ็บปวดและแม้ว่าเด็กหญิงจะจากโลกไป แต่ในนาทีสุดท้ายเธอก็พบกับความสบายใจและความสุขกับคุณยายของเธอในโลกที่ไม่หนาวเหน็บหรือหิวโหยอีกต่อไป

คำศัพท์
Từ vựng tiếng Anh คำศ คำศัพท์ | ถอดเสียง | งานแปล |
Terribly | /ˈtɛrəbli/ | อย่างน่ากลัว |
Bare | /bɛr/ | เปลือย ไร้สิ่งตกแต่ง |
Naked | /ˈneɪkɪd/ | เปล่า ไม่ใส่รองเท้า |
Roam | /roʊm/ | เดินเตร่ |
Slippers | /ˈslɪpərz/ | รองเท้าแตะ |
Seize | /siːz/ | จับ |
Shivering | /ˈʃɪvərɪŋ/ | หนาวสั่น |
Misery | /ˈmɪzəri/ | ความทุกข์ยาก |
Savory | /ˈseɪvəri/ | หอมอร่อย |
Cradle | /ˈkreɪdl/ | เปล |
Huddled | /ˈhʌdəld/ | หด |
Straw | /strɔː/ | ฟางข้าว |
Veil | /veɪl/ | ผ้าคลุมหน้า |
Tapers | /ˈteɪpərz/ | เทียนขนาดเล็ก |
Corpse | /kɔːrps/ | ซากศพ |
นิทานภาษาอังกฤษ สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด

นิทานภาษาอังกฤษ สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด | งานแปล |
Once upon a time, long ago a king and queen ruled over a distant land. The queen was kind and lovely and all the people of the realm adored her. The only sadness in the queen’s life was that she wished for a child but did not have one. One winter day, the queen was doing needle work while gazing out her ebony window at the new fallen snow. A bird flew by the window startling the queen and she pricked her finger. A single drop of blood fell on the snow outside her window. As she looked at the blood on the snow she said to herself, “Oh, how I wish that I had a daughter that had skin as white as snow, lips as red as blood, and hair as black as ebony.”Soon after that, the king queen got her wish when she gave birth to a baby girl who had skin white as snow, lips red as blood, and hair black as ebony. They named the baby princess Snow White, but sadly, the queen died after giving birth to Snow White.Soon after, the king married a new woman who was beautiful, but also proud and cruel. She had studied dark magic and owned a magic mirror, of which she would daily ask, Mirror, mirror on the wall, who’s the fairest of them all?.Each time this question was asked, the mirror would give the same answer, “Thou, O Queen, art the fairest of all.” This pleased the queen greatly as she knew that her magical mirror could speak nothing but the truth.One morning when the queen asked, “Mirror, mirror on the wall, who’s the fairest of them all?” she was shocked when it answered: You, my queen, are fair, it is true. But Snow White is even fairer than you.The Queen flew into a jealous rage and ordered her huntsman to take Snow White into the woods to be killed. She demanded that the huntsman return with Snow White’s heart as proof. The poor huntsman took Snow White into the forest, but found himself unable to kill the girl. Instead, he let her go, and brought the queen the heart of a wild boar. Snow White was now all alone in the great forest, and she did not know what to do. The trees seemed to whisper to each other, scaring Snow White who began to run. She ran over sharp stones and through thorns. She ran as far as her feet could carry her, and just as evening was about to fall she saw a little house and went inside in order to rest.Inside the house everything was small but tidy. There was a little table with a tidy, white tablecloth and seven little plates. Against the wall there were seven little beds, all in a row and covered with quilts. Because she was so hungry Snow White ate a few vegetables and a little bread from each little plate and from each cup she drank a bit of milk. Afterward, because she was so tired, she lay down on one of the little beds and fell fast asleep.After dark, the owners of the house returned home. They were the seven dwarves who mined for gold in the mountains. As soon as they arrived home, they saw that someone had been there::for not everything was in the same order as they had left it.The first one said, “Who has been sitting in my chair?”The second one, “Who has been eating from my plate?”The third one, “Who has been eating my bread?”The fourth one, “Who has been eating my vegetables?”The fifth one, “Who has been eating with my fork?”The sixth one, “Who has been drinking from my cup?”But the seventh one, looking at his bed, found Snow White lying there asleep. The seven dwarves all came running up, and they cried out with amazement. They fetched their seven candles and shone the light on Snow White.”Oh good heaven!” they cried. “This child is beautiful!”They were so happy that they did not wake her up, but let her continue to sleep in the bed. The next morning Snow White woke up, and when she saw the seven dwarves she was frightened. But they were friendly and asked, “What is your name?””My name is Snow White,” she answered.”How did you find your way to our house?” the dwarves asked further.Then she told them that her stepmother had tried to kill her, that the huntsman had spared her life, and that she had run the entire day through the forest, finally stumbling upon their house.The dwarves spoke with each other for a while and then said, “If you will keep house for us, and cook, make beds, wash, sew, and knit, and keep everything clean and orderly, then you can stay with us, and you shall have everything that you want.””Yes,” said Snow White, “with all my heart.” Snow White greatly enjoyed keeping a tidy home.So Snow White lived happily with the dwarves. Every morning, they went into the mountains looking for gold, and in the evening when they came back home Snow White had their meal ready and their house tidy. During the day the girl was alone, except for the small animals of the forest that she often played with.Now the queen, believing that she had eaten Snow White’s heart, could only think that she was again the first and the most beautiful woman of all. She stepped before her mirror and said:Mirror, mirror, on the wall, Who in this land is fairest of all?It answered:You, my queen, are fair, it is true. But Snow White, beyond the mountains With the seven dwarves, Is still a thousand times fairer than you.This startled the queen, for she knew that the mirror did not lie, and she realized that the huntsman had deceived her and that Snow White was still alive. Then she thought, and thought again, how she could rid herself of Snow White:for as long as she was not the most beautiful woman in the entire land her jealousy would give her no rest. At last she thought of something. She went into her most secret room:no one else was allowed inside and she made a poisoned apple. From the outside it was beautiful, and anyone who saw it would want it. But anyone who might eat a little piece of it would die. Coloring her face, she disguised herself as an old peddler woman, so that no one would recognize her, traveled to the dwarves house and knocked on the door.Snow White put her head out of the window, and said, “I must not let anyone in,the seven dwarves have forbidden me to do so.””That is all right with me,” answered the peddler. “I’ll easily get rid of my apples. Here, I’ll give you one of them.” “No,” said Snow White, “I cannot accept anything from strangers.””Are you afraid of poison?” asked the old woman. “Look, I’ll cut the apple in two. You eat half and I shall eat half.”Now the apple had been so artfully made that only one half was poisoned. Snow White longed for the beautiful apple, and when she saw that the peddler woman was eating part of it she could no longer resist, and she stuck her hand out and took the poisoned half. She barely had a bite in her mouth when she fell to the ground dead.The queen looked at her with an evil stare, laughed loudly, and said, “White as snow, red as blood, black as ebony wood! The dwarves shall never awaken you.” Back at home she asked her mirror:Mirror, mirror, on the wall, Who in this land is fairest of all?It finally answered:You, my queen, are fairest of all.Then her cruel and jealous heart was at rest, as well as a cruel and jealous heart can be at rest.When the dwarves came home that evening they found Snow White lying on the ground. She was not breathing at all. She was dead. They lifted her up and looked at her longingly. They talked to her, shook her and wept over her. But nothing helped. The dear child was dead, and she remained dead. They laid her on a bed of straw, and all seven sat next to her and mourned for her and cried for three days. They were going to bury her, but she still looked as fresh as a living person, and still had her beautiful red cheeks.They said, “We cannot bury her in the black earth,” and they had a transparent glass coffin made, so she could be seen from all sides. They laid her inside, and with golden letters wrote on it her name, and that she was a princess. Then they put the coffin outside on a mountain, and one of them always stayed with it and watched over her. The animals too came and mourned for Snow White, first an owl, then a raven, and finally a dove.Now it came to pass that a prince entered these woods and happened upon the dwarves’ house, where he sought shelter for the night . He saw the coffin on the mountain with beautiful Snow White in it, and he read what was written on it with golden letters.Then he said to the dwarves, “Let me have the coffin. I will give you anything you want for it.”But the dwarves answered, “We will not sell it for all the gold in the world.” Then he said, “Then give it to me, for I cannot live without being able to see Snow White. I will honor her and respect her as my most cherished one.”As he thus spoke, the good dwarves felt pity for him and gave him the coffin. The prince had his servants carry it away on their shoulders. But then it happened that one of them stumbled on some brush, and this dislodged from Snow White’s throat the piece of poisoned apple that she had bitten off. Not long afterward she opened her eyes, lifted the lid from her coffin, sat up, and was alive again.”Good heavens, where am I?” she cried out.The prince said joyfully, “You are with me.” He told her what had happened, and then said, “I love you more than anything else in the world. Come with me to my father’s castle. You shall become my wife.” Snow White loved him, and she went with him. Their wedding was planned with great splendor and majesty. Snow White’s wicked step-mother was invited to the feast, and when she had arrayed herself in her most beautiful garments, she stood before her mirror, and said:Mirror, mirror, on the wall, Who in this land is fairest of all?The mirror answered:You, my queen, are fair, it is true. But the young queen is a thousand times fairer than you.Not knowing that this new queen was indeed her stepdaughter, she arrived at the wedding, and her heart filled with the deepest of dread when she realized the truth :the evil queen was banished from the land forever and the prince and Snow White lived happily ever after. | กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกษัตริย์และราชินีองค์หนึ่งซึ่งปกครองดินแดนอันห่างไกล ราชินีองค์นี้ทรงใจดีและเปี่ยมด้วยความรักจนราษฎรในอาณาจักรต่างเคารพท่าน ความเศร้าเพียงอย่างเดียวของราชินีคือความปรารถนาที่จะมีลูก แต่ท่านก็ไม่สามารถบรรลุผลได้วันหนึ่งในฤดูหนาว ราชินีกำลังเย็บผ้าและทรงมองออกไปนอกหน้าต่างไม้มะเกลือ เมื่อท่านสังเกตและเห็นว่าหิมะเพิ่งตกลงมา นกที่บินอยู่ใกล้หน้าต่างทำให้พระราชินีตกใจและจิกนิ้วของท่าน เลือดหยดหนึ่งตกลงบนหิมะนอกหน้าต่าง เมื่อท่านเห็นเลือดบนหิมะ ท่านคิดกับตัวเองว่า “โอ้ ฉันอยากมีลูกสาวที่มีผิวขาวเหมือนหิมะ ริมฝีปากแดงเหมือนเลือดและผมดำเหมือนไม้มะเกลือ”ไม่นานหลังจากนั้น ราชินีผู้ใจดีนี้ก็ได้รับความปรารถนาเมื่อท่านให้กำเนิดทารกหญิงที่มีผิวขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากแดงราวกับเลือด และผมดำราวกับไม้มะเกลือ พวกเขาตั้งชื่อให้ทารกหญิงว่า เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ แต่น่าเสียดายที่ราชินีสิ้นพระชนม์หลังคลอดบุตรหลังจากนั้น กษัตริย์ก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยงามแต่โหดร้ายและพึงพอใจอย่างยิ่ง เธอศึกษาเวทย์มนตร์ดำและมีกระจกผีที่เธอใช้ถามปากคำมันในทุกวัน”กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี ?”และทุก ๆ ครั้งกระจกก็จะตอบว่า “ท่านนี่แหละ ไม่มีผู้ใดงดงามเกิน” แล้ววันหนึ่ง ราชินีก็ถามเช่นเดิม แต่กระจกวิเศษกลับตอบว่า “มีหญิงสาวผู้หนึ่ง ริมฝีปากสีแดงเหมือนเลือด เส้นผมดำเงาดั่งไม้มะเกลือ ผิวกายขาวดั่งหิมะ เธอชื่อสโนว์ไวท์ ผู้งามเลิศในปฐพี”ราชินีเริ่มอิจฉาทันทีและสั่งให้นายพรานพาสโนว์ไวท์เข้าไปในป่าเพื่อฆ่าเธอ ราชินียังสั่งให้นักล่ากลับมาโดยมีหัวใจของสโนว์ไวท์อยู่ในมือเพื่อเป็นหลักฐานนายพรานเชื่อฟังทันทีและพาสโนว์ไวท์เข้าไปในป่า แต่ก็ตระหนักว่า เขาไม่ควรฆ่าเด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนี้ ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้สโนว์ไวท์ไปและนำหัวใจของหมูป่ามาให้ราชินีแทนตอนนี้สโนว์ไวท์ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในป่าใหญ่ และเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร พุ่มไม้กระซิบกันทำให้สโนว์ไวท์ตื่นตระหนกและเริ่มวิ่งหนี เธอวิ่งไปเหยียบก้อนหินแหลมคมและผ่านพุ่มหนาม เธอวิ่งไปจนเมื่อยขา และพอตกกลางคืน เธอก็เห็นบ้านหลังเล็ก ๆ และเข้าไปพักผ่อนอยู่ข้างใน ภายในบ้านทุกอย่างจะเล็ก แต่เรียบร้อยมาก มีโต๊ะตัวเล็ก ๆ แต่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก พร้อมด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวและจานเล็กๆ เจ็ดจาน ใกล้กำแพงมีเตียงเล็กๆ เจ็ดเตียง เรียงกันเป็นแถวอย่างเรียบร้อยและมีผ้าห่มคลุมไว้ข้างบนเนื่องจากเธอหิวมาก สโนว์ไวท์จึงกินผักสองสามชิ้นและขนมปังบนจานเล็ก และดื่มนมจากถ้วยเล็ก หลังจากนั้น เพราะรู้สึกเหนื่อยมาก เธอจึงนอนบนเตียงเล็ก ๆ และหลับสบายโดยไม่รู้ตัวเลยหลังจากตกค่ำเจ้าของก็กลับมาถึงบ้าน พวกเขาคือคนแคระทั้งเจ็ดที่ขุดทองบนภูเขา เมื่อกลับถึงบ้าน พวกเขาพบว่ามีคนอยู่ในบ้าน เพราะมีเรื่องวุ่นวายเมื่อพวกเขาจากไปคนที่แรกพูดว่า “ใครนั่งอยู่บนเก้าอี้ของผม”คนที่สองพูดว่า “ใครกินจากจานของผม”คนที่สามพูดว่า “ใครกินขนมปังของผม”คนที่สี่พูดว่า “ใครกินผักของผม”คนที่ห้าพูดว่า “ใครใช้ส้อมของผม”คนที่หกพูดว่า “ใครดื่มจากถ้วยของผม”แต่คนแคระคนที่เจ็ดเมื่อมองไปที่เตียงก็เห็นสโนว์ไวท์นอนอยู่ที่นั่น คนแคระทั้งเจ็ดคนวิ่งเข้ามาและพวกเขาก็กรีดร้องด้วยความประหลาดใจ พวกเขาหยิบเทียนเจ็ดเล่มมาฉายแสงไปที่ใบหน้าของสโนว์ไวท์”โอ้พระเจ้า” พวกเขาตะโกนว่า “ผู้หญิงคนนี้สวยมาก”พวกเขามีความสุขมากจนไม่อยากปลุกเธอ เธอจึงนอนต่อบนเตียงต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาและตกใจเมื่อเห็นคนแคระทั้งเจ็ดอยู่ในบ้าน แต่พวกเขาก็ดูเป็นมิตรและถามเธอว่า “คุณชื่ออะไร”“ฉันชื่อสโนว์ไวท์” เธอตอบ“คุณรู้จักทางไปบ้านเราได้ยังไง” พวกคนแคระถามต่อไปเธอก็เล่าให้ฟังว่าแม่เลี้ยงของเธอพยายามจะฆ่าเธออย่างไร แต่นายพรานปล่อยเธอไป เธอวิ่งผ่านป่าทั้งวันและในที่สุดก็มาเจอบ้านของพวกเขาพวกคนแคระคุยกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ถ้าคุณรู้จักทำงานบ้านให้เรา เช่น ทำอาหาร ทำเตียง ล้างจาน เย็บผ้า ถักนิตติ้ง และดูแลทุกอย่างให้สะอาดเรียบร้อย แล้วคุณก็อยู่กับเราได้เลย” และคุณจะได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ“ได้ค่ะ” สโนว์ไวท์ตอบ “ฉันจะทำสิ่งเหล่านั้นด้วยสุดใจ” เพราะเธอชอบจัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสโนว์ไวท์จึงอยู่ร่วมกับคนแคระอย่างมีความสุข ทุกเช้าพวกเขาจะเข้าไปในภูเขาเพื่อค้นหาทองคำ และในตอนเย็นเมื่อพวกเขากลับบ้าน สโนว์ไวท์ก็เตรียมอาหารและบ้านก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ในกลางวันเธออยู่คนเดียวที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีสัตว์เล็ก ๆ ในป่ามาเล่นกับเธอด้วยในเวลานั้น ราชินีเชื่อว่าเธอได้กินหัวใจของสโนว์ไวท์ไปแล้ว จึงทรงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก พระราชินีผู้ดุร้ายก็ไปหากระจกวิเศษอีก “กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี” กระจกวิเศษตอบว่า “ข้ามหุบเขาเพชรพลอยเจ็ดลูก หลังน้ำตกเจ็ดสาย ในกระท่อมที่คนแคระทั้งเจ็ดอยู่ มีสโนว์ไวท์งดงามที่สุด” คำตอบนี้ทำให้ราชินีตกใจมาก เพราะเธอรู้ว่ากระจกไม่เคยโกหก และตระหนักว่านักล่าหลอกเธอไปแล้ว สโนว์ไวท์ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นเธอก็คิดหาวิธีเอาภาพลักษณ์ของสโนว์ไวท์ที่สวยงามออกจากหัวของเธอ – เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ตระหนักว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ความหึงหวงทำให้เธอโกรธไม่หยุดในที่สุดพระราชินีก็มีความคิด เธอเข้าไปในห้องลับที่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป และเธอก็ทำแอปเปิ้ลที่มีพิษ ภายนอกดูสวยงาม ใครเห็นก็อยากกิน แต่ใครก็ตามที่กินเพียงชิ้นเล็ก ๆ จะต้องตาย หลังจากทาสีหน้าแล้ว พระราชนีก็ปลอมตัวเป็นแม่ค้าเร่เก่า ๆ เพื่อไม่ให้ใครรู้จักเธอได้ จากนั้นเธอจึงไปที่บ้านของคนแคระและเคาะประตูสโนว์ไวท์ยื่นหัวออกไปนอกประตูแล้วบอกว่า “ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใครเข้าไปในบ้าน คนแคระทั้งเจ็ดห้ามฉันแล้วค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก” คนขายให้ความมั่นใจ “ฉันขายแอปเปิ้ลเหล่านี้ได้ดีมาก เฮ้ ฉันจะให้คุณอันหนึ่งลองชิมนะ”“ไม่ค่ะ” สโนว์ไวท์ตอบกลับ “ฉันไม่สามารถรับอะไรจากคนแปลกหน้าได้”“คุณกลัวว่าฉันจะวางยาพิษคุณเหรอ” หญิงชรากล่าว “ดูสิ ฉันจะผ่าแอปเปิ้ลครึ่งหนึ่ง คุณกินครึ่งหนึ่ง และฉันจะกินอีกครึ่งหนึ่ง”ตอนนี้แอปเปิ้ลถูกตัดอย่างชำนาญจนมีพิษเพียงครึ่งเดียว สโนว์ไวท์มองดูแอปเปิ้ลฉ่ำ ๆ อย่างกระตือรือร้นและเมื่อแม่ค้าเฒ่ากินไปครึ่งหนึ่ง เธอก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป และเธอก็ยื่นมือออกไปหยิบแอปเปิ้ลอีกครึ่งหนึ่งที่มียาพิษอยู่ เธอแค่กัดปากเล็กน้อยก็ล้มลงกับพื้นและเสียชีวิตราชินีมองเธอด้วยดวงตาที่โหดร้าย หัวเราะแล้วบอกว่า “ขาวเหมือนหิมะ แดงเหมือนเลือด ผมดำเหมือนไม้มะเกลือ คนแคระเหล่านั้นจะไม่ปลุกเธออีกเลย”เมื่อกลับบ้าน ราชนีก็ถามกระจกวิเศษอีกครั้ง”กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”กระจกก็จะตอบว่า “ท่านนี่แหละ ไม่มีผู้ใดงดงามเกิน”จากนั้นความโหดร้ายและความอิจฉาริษยาก็หายไป และทำให้จิตใจของราชนีสงบขึ้นด้วยคืนนั้น เมื่อคนแคระกลับมาบ้านก็พบว่าสโนว์ไวท์นอนอยู่บนพื้น เธอหยุดหายใจ เธอตายแล้ว พวกเขากอดเธอและมองดูเธออย่างสุดซึ้ง พวกเขาคุยและเขย่าเธอให้ตื่น ร้องไห้ด้วยแต่ก็ไม่มีประโยชน์ เด็กสาวผู้น่ารักเสียชีวิตแล้วและเธอยังคงอยู่ในสภาพนั้นต่อไป พวกเขาวางเธอไว้บนเตียงฟางและคนแคระทั้งเจ็ดก็นั่งข้างเธอไว้ทุกข์อยู่สามวัน พวกเขากำลังเตรียมที่จะฝังเธอ แต่เธอยังเด็กและดูเหมือนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แก้มของเธอยังคงแดงเป็นสีดอกกุหลาบพวกเขากล่าวว่า: “เราไม่สามารถฝังเธอไว้ในดินดำได้” และพวกเขาก็ได้ทำโลงศพแบบโปร่งใส เพื่อให้สามารถมองเห็นเธอได้จากทุกด้าน พวกเขาวางเธอไว้ในโลงศพและเขียนชื่อของเจ้าหญิงด้วยตัวอักษรสีทอง จากนั้นพวกเขาก็วางโลงศพไว้นอกภูเขาและส่งคนมาเฝ้าโลงศพและดูแลเธออยู่เสมอ เหล่าสัตว์มาที่โลงศพเพื่อไว้ทุกข์ให้กับสโนว์ไวท์ มีนกฮูก มีอีกา และสุดท้ายคือนกพิราบในวันหนึ่งมีเจ้าชายองค์หนึ่งเดินผ่านป่านี้ไปเห็นบ้านของคนแคระ จึงหาที่หลบภัยในคืนนี้ เขาเห็นโลงศพบนภูเขาที่มีสโนว์ไวท์แสนสวยอยู่ข้างใน และเขาอ่านเนื้อหาของตัวอักษรสีทองที่เขียนอยู่บนนั้นจากนั้นเขาก็พูดกับคนแคระว่า “ให้ผมดูแลโลงศพก่อน ผมจะให้ตามที่คุณต้องการ”แต่คนแคระทั้งเจ็ดตอบว่า “เราจะไม่ขายมันเพื่อแลกเปลี่ยนทองคำทั้งหมดในโลกนี้”เจ้าชายจึงพูดอีกครั้ง “มอบมันให้ผมนะครับเพราะผมขาดสโนว์ไวท์ไม่ได้ ผมสัญญาว่าจะเคารพเธอในฐานะญาติที่รักที่สุดของผม”เมื่อเจ้าชายกล่าวเช่นนั้น คนแคระผู้ใจดีก็รู้สึกเสียใจต่อเจ้าชายจึงมอบโลงศพให้เขา เจ้าชายขอให้คนรับใช้อุ้มโลงศพขึ้นบ่า แต่แล้วบังเอิญมีคนหนึ่งสะดุดพุ่มไม้และทำให้แอปเปิ้ลที่มียาพิษที่เธอเคยกัดออกไปจากลำคอ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ลืมตา เปิดฝาโลงศพ ลุกขึ้นนั่งและฟื้นคืนชีพขึ้นมา“โอ้พระเจ้า ฉันกำลังอยู่ที่ไหน” เธอกรีดร้องเจ้าชายพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “คุณอยู่กับผม” เขาเล่าให้เธอฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วพูดว่า “ผมรักคุณมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้ ไปปราสาทกับผมนะ เธอจะกลายเป็นภรรยาของผม “สโนว์ไวท์รักเจ้าชายมากจนตกลงไปกับเขา งานแต่งงานของทั้งคู่เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการแม่เลี้ยงผู้ชั่วร้ายของสโนว์ไวท์ได้รับเชิญไปงานแต่ง และเมื่อเธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและการแต่งหน้าที่สวยงาม เธอก็ยืนอยู่หน้ากระจกและถามว่า”กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”กระจกก็ตอบอย่างทันทีว่า“พระราชนีคะ คุณทรงงดงามมากแต่ตอนนี้มีราชินีองค์หนึ่งสวยงามกว่าคุณ”เพราะเธอไม่รู้ว่าราชินีองค์ใหม่นี้เป็นลูกเลี้ยงของเธอจริงๆ เธอจึงเข้าร่วมงานแต่งงานและรู้สึกหวาดกลัวในใจเมื่อตระหนักถึงความจริงนี้ ดังนั้นราชินีผู้ชั่วร้ายจึงถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรไปตลอดกาล ส่วนเจ้าชายและสโนว์ไวท์ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง นิทานเรื่องนี้สอนให้เราว่าความมีน้ำใจและความซื่อสัตย์จะได้รับการตอบแทนเสมอ ในขณะที่ความหึงหวงและความโหดร้ายจะถูกลงโทษในที่สุด ยังเน้นย้ำว่าความงามที่แท้จริงนั้นมาจากภายในและไม่สามารถซ่อนได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก
คำศัพท์
Từ vựng tiếng Anh คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Adored | /əˈdɔrd/ | ชอบมาก |
Ebony | /ˈɛbəni/ | ไม้มะเกลือ |
Pricked | /prɪkt/ | แทง เจาะ (ถูกเข็มทิ่มแทง) |
Realm | /rɛlm/ | อาณาจักร |
Stirred | /stɜrd/ | สะเทือนใจ |
Huntsman | /ˈhʌntsmən/ | นายพราน |
Jealous | /ˈdʒɛləs/ | อิจฉา |
Rage | /reɪdʒ/ | ความเดือดดาล |
Disguised | /dɪsˈɡaɪzd/ | ปลอมตัว |
Peddler | /ˈpɛdlər/ | พนักงานเร่ขาย |
Poisoned | /ˈpɔɪzənd/ | ยาพิษ |
Artfully | /ˈɑːrtfəl/ | ฉลาด ชำนาญ |
Stumbled | /ˈstʌmbəld/ | สะดุด |
Transparent | /trænˈspærənt/ | โปร่งแสง |
Majesty | /ˈmædʒɪsti/ | ความสง่าผ่าเผย |
Quilt | /kwɪlt/ | ผ้าห่ม |
Longed | /lɔŋd/ | โหยหา |
Splendor | /ˈsplɛndər/ | ความงดงาม ความรุ่งโรจน์ |
Mourned | /mɔrnd/ | เศร้าโศก อาลัย ไว้ทุกข์ |
Stale | /steɪl/ | ไม่สด เหม็นอับ (อาหาร) |
Dread | /drɛd/ | ความกลัว กังวล |
Dislodged | /dɪsˈlɑːdʒd/ | ตก เคลื่อนออกจาก |
Luminous | /ˈluːmɪnəs/ | โปร่งแสง กระจ่ายแสง |
Veils | /veɪlz/ | ผ้าคลุมหน้า |
Enchanted | /ɪnˈtʃæntɪd/ | รู้สึกเคลิบเคลิ้ม เคลิ้ม หลงใหล |
นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆง่ายๆ สิงโตกับหนู

นิทานภาษาอังกฤษ สิงโตกับหนู | งานแปล |
Once when a lion, the king of the jungle, was asleep, a little mouse began running up and down on him. This soon awakened the lion, who placed his huge paw on the mouse, and opened his big jaws to swallow him.“Pardon, O King!” cried the little mouse. “Forgive me this time. I shall never repeat it and I shall never forget your kindness. And who knows, I may be able to give you a good turn one of these days!”The lion was so tickled by the idea of the mouse being able to help him that he lifted his paw and let him go. Sometime later, a few hunters captured the lion, and tied him to a tree. After that they went in search of a wagon, to take him to the zoo. Just then the little mouse happened to pass by. On seeing the lion’s plight, he ran up to him and gnawed away the ropes that bound him, the king of the jungle. “Was I not right?” said the little mouse, very happy to help the lion. | ครั้งหนึ่งเมื่อสิงโตเจ้าแห่งป่าหลับใหล มีหนูเล็ก ๆ ตัวหนึ่งวิ่งขึ้นลงใส่ร่าง สิ่งนี้ทำให้สิงโตตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกดอุ้งเท้าขนาดใหญ่ไว้บนหนู และเปิดกรามอันมหึมาของมันเตรียมที่จะกลืนหนู“ขออภัย ราชาผู้ยิ่งใหญ่” หนูตัวน้อยร้องไห้ “ครั้งนี้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นอีกและฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของคุณ และใครจะรู้ วันหนึ่งฉันอาจจะทำสิ่งดีตอบแทนคุณ”สิงโตรู้สึกตื่นเต้นมากกับความคิดที่ว่าหนูสามารถช่วยเขาได้ จึงยกอุ้งเท้าขึ้นแล้วปล่อยให้หนูไปต่อมามีนายพรานจับสิงโตแล้วผูกไว้กับต้นไม้ จากนั้นพวกเขาก็ไปหาเกวียน เพื่อไปสวนสัตว์ในขณะเดียวกัน หนูตัวน้อยก็บังเอิญเดินผ่านไป เมื่อเห็นสิงโตตกอยู่ในสภาพลำบากก็วิ่งไปหาสิงโตแล้วแทะเชือกที่ผูกราชาแห่งป่าไว้หนูตัวน้อยบอกว่า “ฉันพูดถูกหรือเปล่า” พร้อมกับทำหน้าดีใจมากที่ได้ช่วยเหลือสิงโต. |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง เรื่องราวของสิงโตกับหนูสอนเราว่า ความมีน้ำใจและความเมตตาไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ไม่เคยไร้ประโยชน์
คำศัพท์
คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Lion | /ˈlaɪən/ | สิงโต |
King | /kɪŋ/ | กษัตริย์, พระราชา |
Jungle | /ˈdʒʌŋɡl/ | ป่าทึบ |
Asleep | /əˈsliːp/ | นอน หลับ |
Mouse | /maʊs/ | หนู |
Paw | /pɔː/ | เท้าสัตว์ (ของสัตว์มีเล็บ) |
Jaws | /dʒɔːz/ | กราม |
Swallow | /ˈswɒləʊ/ | กลืน |
Pardon | /ˈpɑːrdn/ | ละเว้นโทษ |
Forgive | /fərˈɡɪv/ | ให้อภัย |
Kindness | /ˈkaɪndnəs/ | ความใจดี |
Tickled | /ˈtɪkəld/ | รู้สึกชอบ รู้สึกดีใจ |
Hunter | /ˈhʌntər/ | นักพราน |
Captured | /ˈkæptʃərd/ | จับ |
Tied | /taɪd/ | ผูก |
Plight | /plaɪt/ | สถานการณ์ที่ยาก (โดยเฉพาะที่ไม่ดี) |
Gnawed | /nɔːd/ | แทะ กัด |
Ropes | /roʊps/ | เชือก |
Happy | /ˈhæpi/ | มีความสุข |
นิทาน ภาษาอังกฤษ แปล : ลูกหมูสามตัว

นิทานภาษาอังกฤษ ลูกหมูสามตัว | งานแปล |
Once upon a time there were three little pigs. One pig built a house of straw while the second pig built his house with sticks. They built their houses very quickly and then sang and danced all day because they were lazy. The third little pig worked hard all day and built his house with bricks. A big bad wolf saw the two little pigs while they danced and played and thought, “What juicy tender meals they will make!” He chased the two pigs, they ran and hid in their houses. The big bad wolf went to the first house then huffed, puffed, and blew the house down in minutes. The frightened little pig ran to the second pig’s house that was made of sticks. The big bad wolf now came to this house then huffed, puffed, blew the house down in hardly any time. Now, the two little pigs were terrified and ran to the third pig’s house that was made of bricks.The big bad wolf tried to huff, puff, and blow the house down, but he could not. He kept trying for hours but the house was very strong and the little pigs were safe inside. He tried to enter through the chimney but the third little pig boiled a big pot of water and kept it below the chimney. The wolf fell into it and died. The two little pigs now felt sorry for having been so lazy. They too built their houses with bricks and lived happily ever after. | กาลครั้งหนึ่ง มีลูกหมูสามตัว หมูตัวหนึ่งสร้างบ้านด้วยฟาง ส่วนหมูตัวที่สองสร้างบ้านด้วยท่อนไม้ พวกเขาสร้างบ้านเร็วมาก จากนั้นก็ร้องเพลง และเต้นรำตลอดทั้งวัน เพราะความเกียจคร้าน ส่วนหมูตัวที่สามทำงานหนักทั้งวันและสร้างบ้านด้วยอิฐมีหมาป่าร้ายตัวใหญ่เห็นหมูสองตัวกำลังเต้นรำ และมันก็คิดกับตัวเองว่า “นี่แหละคือมื้ออาหารที่อร่อยและอ่อนนุ่ม” หมาป่าไล่หมูทั้งสองตัวลูกหมูสองตัวก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านของตัวเอง หมาป่าตัวร้ายมาถึงบ้านหลังแรกและพ่นลมหายใจแรง ๆ บ้านฟางก็พังทลายลงทันทีในเวลาเพียงไม่กี่นาทีหมูขี้กลัวรีบวิ่งไปในบ้านของหมูตัวที่สอง ซึ่งเป็นบ้านที่ทำจากไม้ หมาป่าตัวร้ายกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าแรงอีกครั้ง และบ้านไม้ก็พังทลายลงในพริบตา ในเวลานี้ หมูสองตัวตกใจมาก และวิ่งไปในบ้านของหมูตัวที่สามซึ่งสร้างด้วยอิฐหมาป่าตัวร้ายพยายามจะระเบิดบ้าน แต่ทำอย่างไรก็ไม่ได้ พยายามหลายครั้งในเวลาหลายชั่วโมง แต่บ้านก็แข็งแรงเกินไป และลูกหมูก็ปลอดภัยอยู่ข้างใน หมาป่าพยายามเข้าไปในปล่องไฟ แต่หมูตัวที่สามต้มน้ำขนาดใหญ่ไว้ใต้ปล่องไฟแล้ว หมาป่าตกลงไปในหม้อน้ำตายตอนนี้ลูกหมูสองตัวรู้สึกเสียใจมากเพราะความขี้เกียจของตัวเอง พวกเขายังสร้างบ้านด้วยอิฐและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง นิทานเรื่องลูกหมูสามตัวสอนเราว่าการทำงานหนักและการเตรียมตัวอย่างรอบคอบสามารถช่วยเอาชนะความยากลำบากได้
คำศัพท์
คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Pig | /pɪɡ/ | หมู |
Straw | /strɔː/ | ฟางข้าว |
Stick | /stɪk/ | กิ่ง ก้าน |
Brick | /brɪk/ | อิฐ |
Lazy | /ˈleɪzi/ | เกียจคร้าน |
Juicy | /ˈdʒuːsi/ | อร่อย ชุ่มฉ่ำ |
Tender | /ˈtɛndər/ | อ่อนนุ่ม |
Chased | /tʃeɪst/ | ไล่ตาม |
Huffed | /hʌft/ | หอบ |
Puffed | /pʌft/ | พอง |
Blew | /bluː/ | พัด |
Frightened | /ˈfraɪtnd/ | กลัว |
Terrified | /ˈterəfaɪd/ | น่ากลัว |
Chimney | /ˈtʃɪmni/ | ปล่องไฟ |
Boiled | /bɔɪld/ | น้ำต้ม |
Pot | /pɒt/ | หม้อ |
Safe | /seɪf/ | ปลอดภัย |
Happily | /ˈhæpɪli/ | อย่างมีความสุข |
Ever after | /ˈɛvər ˈæftər/ | มีความสุขตลอดไป |
นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ พร้อมภาพประกอบ หนูกับกบ

นิทานภาษาอังกฤษ หนูกับกบ | งานแปล |
One day, a country rat wanted to go to town. He prepared himself and started his journey.It was hot on the way. So the rat was tired and thirsty. He then stopped near a big pond to drink water to refresh himself. Near that pond, there lived a frog. | วันหนึ่งหนูนาอยากจะเข้าเมือง มันเตรียมทุกอย่าง แล้วเริ่มการเดินทาง ระหว่างทาง อากาศร้อนทำให้หนูเหนื่อยและกระหายน้ำมาก จึงแวะที่สระน้ำขนาดใหญ่ เพื่อดื่มน้ำช่วยให้สดชื่น ใกล้สระน้ำนั้น มีกบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ |
When the rat saw the frog, he walked straight towards him. He forced the frog to take him to the other side of the pond, but the frog refused. The rat beat up the frog badly. So the frog had to give up and agreed to take him across the pond. The rat was afraid that the frog might leave him in the middle of the pond, so he tied his leg with the frog’s leg. | เมื่อหนูเห็นกบก็ตรงเข้าไปหามันทันที หนูบังคับให้กบพาหนูไปที่อีกฟากหนึ่งของสระน้ำ แต่กบไม่ยอม หนูก็ทุบตีกบอย่างรุนแรง ในที่สุด กบก็ยอมและตกลงที่จะอุ้มหนูข้ามสระน้ำ เจ้าหนูกลัวว่า กบจะทิ้งเขาไปครึ่งทาง จึงมัดเท้าไว้กับขาของกบ |
When they were in the middle of the pond, the frog stopped swimming, wanting the rat to drown. The rat tried to swim to save himself from drowning while the frog looked on with satisfaction. Meanwhile, there was a hawk flying by the pond and saw the two animals. The hawk grabbed both of them for his meal. | เมื่อทั้งสองอยู่กลางสระน้ำ กบก็หยุดว่ายน้ำโดยตั้งใจจะทำให้หนูจมน้ำตาย เจ้าหนูพยายามว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด ขณะที่กบมองดูอย่างสะใจ ขณะเดียวกันมีนกอินทรีตัวหนึ่งบินอยู่เหนือสระน้ำและเห็นสัตว์สองตัวอยู่ด้านล่าง นกอินทรีก็คว้ามันทั้งสองมากินเป็นอาหาร |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง บทเรียนจากเรื่องราวของหนูกับกบ คือ การกระทำที่เห็นแก่ตัวและไม่ยุติธรรม ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อตัวคุณเองด้วย
คำศัพท์
Từ vựng tiếng Anh คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Country | /ˈkʌntri/ | ชนบท |
Rat | /ræt/ | หนู |
Journey | /ˈdʒɜːrni/ | การเดินทาง |
Tired | /ˈtaɪərd/ | เหนื่อย |
Thirsty | /ˈθɜːrsti/ | กระหายน้ำ |
Pond | /pɒnd/ | สระน้ำ |
Refresh | /rɪˈfrɛʃ/ | ทำให้สดชื่น |
Frog | /frɒɡ/ | กบ |
Forced | /fɔːrst/ | บังคับ |
Refused | /rɪˈfjuzd/ | ปฏิเสธ |
Beat up | /biːt ʌp/ | ตี ทุบ |
Badly | /ˈbædli/ | เลว ร้าย |
Give up | /ɡɪv ʌp/ | ยอมแพ้ ทิ้ง เลิก |
Across | /əˈkrɔːs/ | ข้าม ตามขวาง ผ่า ทะลุ |
Tie | /taɪ/ | ผูก มัด |
Drown | /draʊn/ | ทำให้จมน้ำตาย |
Satisfaction | /ˌsætɪsˈfækʃən/ | ความพอใจ |
Hawk | /hɔːk/ | นกอินทรี |
Grabbed | /ɡræbd/ | หยิบ จับ |
Meal | /miːl/ | มื้อ |
นิทานภาษาอังกฤษ เจ้าชายกบ

นิทานภาษาอังกฤษยาว เจ้าชายกบ | งานแปล |
One fine evening a young princess put on her bonnet and clogs, and went out to take a walk by herself in a wood, and when she came to a cool spring of water with a rose in the middle of it, she sat herself down to rest a while. Now she had a golden ball in her hand, which was her favorite plaything,and she was always tossing it up into the air, and catching it again as it fell. After a time she threw it up so high that she missed catching it as it fell,and the ball bounded away, and rolled along on the ground, until at last it fell down into the spring. The princess looked into the spring after her ball, but it was very deep, so deep that she could not see the bottom of it. She began to cry, said, ‘Alas! If I could only get my ball again, I would give all my fine clothes and jewels, and everything that I have in the world.’ Whilst she was speaking, a frog put its head out of the water, and said, ‘Princess, why do you weep so bitterly?’ ‘Alas!’ said she, ‘what can you do for me, you nasty frog? My golden ball has fallen into the spring.’ The frog said, ‘I do not want your pearls, jewels, and fine clothes, but if you will love me, let me live with you and eat from off your golden plate, sleep on your bed, I will bring you your ball again.’ ‘What nonsense,’ thought the princess, ‘this silly frog is talking! He can never even get out of the spring to visit me, though he may be able to get my ball for me, and therefore I will tell him he shall have what he asks.’ So she said to the frog, ‘Well, if you will bring me my ball, I will do all you ask’. Then the frog put his head down, dived deep under the water, after a little while he came up again, with the ball in his mouth, and threw it on the edge of the spring.As soon as the young princess saw her ball, she ran to pick it up. She was so overjoyed to have it in her hand again, that she never thought of the frog, but ran home with it as fast as she could.The frog called after her, ‘Stay, princess, and take me with you as you said,’ But she did not stop to hear a word. The next day, just as the princess had sat down to dinner, she heard a strange noise :tap, tap :plash, plash :as if something was coming up the marble staircase, soon afterwards there was a gentle knock at the door, and a little voice cried out and said:“Open the door, my princess dear, Open the door to thy true love here! And mind the words that thou and I said By the fountain cool, in the greenwood shade.”Then the princess ran to the door and opened it, there she saw the frog, whom she had quite forgotten. At this sight she was sadly frightened, shutting the door as fast as she could back to her seat. The king, her father, seeing that something had frightened her, asked her what was the matter.’There is a nasty frog,’ said she, ‘at the door, that lifted my ball for me out of the spring this morning. I told him that he should live with me here, thinking that he could never get out of the spring,but there he is at the door, and he wants to come in.’ While she was speaking the frog knocked again at the door, said:’Open the door, my princess dear, Open the door to thy true love here! Mind the words that thou and I said The fountain is cool, in the greenwood shade.’Then the king said to the young princess, ‘As you have given your word you must keep it,so go and let him in.’She did so, the frog hopped into the room, and then straight on :tap, tap :plash, plash :from the bottom of the room to the top, till he came up close to the table where the princess sat.’Pray lift me up on a chair,’ said he to the princess, ‘and let me sit next to you.’As soon as she had done this, the frog said, ‘Put your plate nearer to me, that I may eat out of it.’This she did, when he had eaten as much as he could, he said, ‘Now I am tired,carry me upstairs, put me into your bed.’ And the princess, though very unwilling, took him up in her hand, put him upon the pillow of her own bed, where he slept all night long. As soon as it was light the frog jumped up, hopped downstairs, and went out of the house.’Now, then,’ thought the princess, ‘at last he is gone, I shall be troubled with him no more.’ But she was mistaken,for when night came again she heard the same tapping at the door, the frog came once more, said: ‘Open the door, my princess dear, Open the door to thy true love here! Mind the words that thou and I said The fountain is cool, in the greenwood shade.’And when the princess opened the door the frog came in, and slept upon her pillow as before, till the morning broke. And the third night he did the same. But when the princess awoke on the following morning she was astonished to see, instead of the frog, a handsome prince, gazing on her with the most beautiful eyes she had ever seen and standing at the head of her bed.He told her that he had been enchanted by a spiteful fairy, who had changed him into a frog, and that he had been fated so to abide till some princess should take him out of the spring, and let him eat from her plate, and sleep upon her bed for three nights. ‘You,’ said the prince, ‘have broken his cruel charm, and now I have nothing to wish for but that you should go with me into my father’s kingdom, where I will marry you, and love you as long as you live.’ The young princess, you may be sure, was not long in saying ‘Yes’ to all this, as they spoke a brightly coloured coach drove up, with eight beautiful horses, decked with plumes of feathers and a golden harness, and behind the coach rode the prince’s servant, faithful Heinrich, who had bewailed the misfortunes of his dear master during his enchantment so long and so bitterly, that his heart had well-nigh burst. They then took leave of the king, got into the coach with eight horses, and all set out, full of joy and merriment, for the prince’s kingdom, which they reached safely,and there they lived happily for a great many years. | ในคืนเดือนหงาย เจ้าหญิงน้อยสวมหมวก และรองเท้าแตะออกไปเดินเล่นคนเดียวในป่า เมื่อมาถึงลำธารเย็น ๆ ก็เห็นต้นกุหลาบอยู่กลางลำธาร เธอจึงลงไปนั่ง และพักผ่อนสักพักหนึ่ง ในเวลานั้น เธอถือลูกบอลทองคำ ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นโปรดของเธอมาเล่น คราวหนึ่ง เนื่องจากเธอโยนมันขึ้นไปในอากาศสูงเสียเกินดังนั้น เมื่อมันตกเธอก็จับไม่ได้ ทำให้ลูกบอลลอยออกไป กลิ้งลงพื้น กลิ้งไปรอบ ๆ และตกลงไปบนพื้นลำธารในที่สุด เจ้าหญิงมองดูลูกบอลกลิ้งช้า ๆ ลงไปในลำธาร แต่กระแสน้ำนั้นลึกมาก จนเธอมองไม่เห็นก้นของมัน เธอเริ่มร้องไห้คร่ำครวญว่า “ใครที่ช่วยฉันเอาลูกบอลคืนมา ฉันจะมอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวยงามทั้งหมดของฉันให้ และทุกสิ่งที่ฉันมีในโลกนี้” ขณะที่เธอกำลังเหม่อลอย กบตัวหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นจากน้ำแล้วพูดว่า “เฮ้ ทำไมเจ้าหญิงร้องไห้ครับ” “อนิจจา คุณช่วยอะไรฉันได้บ้าง เจ้ากบน่ารังเกียจ ลูกบอลทองคำของฉัน ตกลงไปในลำธารแล้ว” กบตอบว่า “ผมไม่รับอัญมณี เครื่องประดับ หรือเสื้อผ้าสวย ๆ ของคุณหรอก แต่ถ้าคุณรักผม ขอให้ผมได้อยู่กับคุณ กินบนจานทองแล้วนอนบนเตียงของคุณผมจะช่วยเอาลูกบอลคืนมาให้” “ไร้สาระ” เจ้าหญิงคิดกับตัวเอง “กบโง่กำลังพูดอะไรแบบนี้ แม้ว่าเขาจะหยิบลูกบอลให้ฉันได้ แต่เขาไม่สามารถกระโดดออกจากลำธารนี้มาหาฉันได้เลย แล้วฉันจะบอกเขาว่าฉันจะให้เขาทุกสิ่งที่เขาต้องการ” หลังจากที่คิด เธอก็พูดกับกบทันทีว่า “ถ้าคุณนำลูกบอลกลับมาให้ฉัน ฉันจะทำทุกอย่างที่คุณขอ” จากนั้นกบก็ดำดิ่งลงไปในน้ำลึก สักพักมันก็ลุกขึ้นมาใหม่ หยิบลูกบอลเข้าปากแล้วโยนมันขึ้นไปข้างลำธาร เมื่อเจ้าหญิงน้อยเห็นลูกบอล เธอก็วิ่งไปหยิบมันขึ้นมาทันที เธอดีใจมากที่ได้ถือมันไว้ในมืออีกครั้ง ดีใจมากจนไม่คิดถึงพระคุณของกบเลย และก็วิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วที่สุด กบก็วิ่งตามและตะโกนว่า “หยุดก่อน เจ้าหญิง ให้ผมได้ไปกับเธอตามที่สัญญาไว้นะครับ” แต่เธอก็ไม่หยุดและไม่ใส่ใจกับคำพูดของกบเลย วันรุ่งขึ้น ทันทีที่เจ้าหญิงนั่งรับประทานอาหารเย็น เธอก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังขึ้นบันไดหินอ่อน หลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะเบา ๆ บนประตูแล้วก็มีเสียงเล็ก ๆ ตะโกนว่า “เปิดประตูให้ผมเข้าไปเถอะ เจ้าหญิงที่รัก เปิดประตูสู่ความรักที่แท้จริงของคุณ โปรดจำสิ่งที่คุณและผมสัญญาไว้ริมลำธารเย็นสบายในป่าสีเขียว” จากนั้นเจ้าหญิงก็วิ่งไปที่ประตู เพื่อเปิดประตูและเธอก็เห็นกบตัวนั้นซึ่งเป็นกบที่เคยช่วยเหลือเธอ เมื่อเห็นก็ตกใจมาก เธอจึงปิดประตูให้เร็วที่สุดแล้ว กลับไปนั่งที่เก้าอี้ พระราชาซึ่งเป็นบิดาของเธอทรงสังเกตเห็นว่า มีบางอย่างทำให้พระธิดาของพระองค์ตกใจ จึงตรัสถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอให้คำตอบว่า “มีกบน่ารังเกียจตัวนั้น” “อยู่ที่ประตู มันจับลูกบอลของฉันที่ตกจากลำธารเมื่อเช้านี้ ฉันสัญญากับเขาว่าจะให้เขาอาศัยอยู่กับฉันที่นี่ เพราะตอนนั้นฉันคิดว่าเขาจะออกไปจากลำธารนั้นไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ประตูแล้วเขาอยากเข้ามา” ขณะที่เธอกำลังพูด กบก็เคาะประตูอีกครั้งแล้วพูดว่า “เปิดประตูให้ผมเข้าไปเถอะ เจ้าหญิงที่รัก เปิดใจต้อนรับความรักแท้จริงของเธอ โปรดจำสิ่งที่คุณและผมสัญญาไว้ ริมลำธารเย็นสบายในป่าเขียว” แล้วพระราชาตรัสกับเจ้าหญิงน้อยว่า “เมื่อลูกสัญญาแล้ว จงรักษาคำพูด ไปเปิดประตูให้เขาเข้าไป” เธอทำตามคำที่พ่อพูด กบก็กระโดดเข้ามาในห้อง แล้วก็พุ่งตรง “แตะ แตะ พลั่ก พลั่ก” จากด้านล่างห้องขึ้นไปด้านบน จนกระทั่งมันมาใกล้โต๊ะที่เจ้าหญิงนั่งอยู่ “โปรดยกผมขึ้นไปบนเก้าอี้” เขาพูดกับเจ้าหญิง เพื่อให้ตัวเองได้นั่งข้างเจ้าหญิง ทันทีที่เธอทำสิ่งนี้เสร็จ กบก็พูดอีกครั้งว่า “เอาจานของคุณมาใกล้ผมหน่อย ผมจะได้กินด้วยกัน” แล้วเธอก็ทำอย่างนั้น โดยที่กบกินเข้าไปจนสุดความสามารถแล้วพูดว่า “ผมเหนื่อยแล้ว พาผมขึ้นไปชั้นบนเถอะ ผมจะนอนบนเตียงของคุณ” แม้จะฝืนใจเจ้าหญิงยิ่งนัก แต่ก็วางกบไว้ในมือ วางกบไว้บนหมอนบนเตียงของเธอเอง แล้วปล่อยให้มันนอนอยู่ที่นั่นตลอดทั้งคืน พอรุ่งเช้า กบก็กระโดดขึ้นไปชั้นล่างแล้วเดินออกจากบ้าน “เอาล่ะ” เจ้าหญิงคิด “ในที่สุดมันก็ผ่านไปแล้ว ฉันจะไม่มีปัญหากับมันอีกต่อไป” แต่เธอคิดผิดแล้ว เพราะเมื่อตกกลางคืนอีกครั้ง เธอได้ยินเสียงเคาะประตูเหมือนเมื่อก่อน และกบก็กลับมาอีกครั้งและพูดว่า “เปิดประตูให้ผมเข้าไปเถอะ เจ้าหญิงที่รัก” เปิดใจต้อนรับความรักแท้จริงของเธอ โปรดจำสิ่งที่คุณและผมสัญญาไว้ ริมลำธารเย็นสบายในป่าเขียว” และเมื่อเจ้าหญิงเปิดประตูให้กบเข้าไป เขาก็นอนบนหมอนเหมือนเมื่อก่อนจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น คืนที่สามกบก็ทำอย่างเดียวกัน แต่เมื่อเจ้าหญิงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเจ้าชายรูปงามยืนอยู่ที่หัวเตียงและจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่สวยงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา เขาเล่าให้เธอฟังว่าเขาถูกนางฟ้าผู้ชั่วร้ายสะกดให้กลายเป็นกบ และเขาต้องรอจนกว่าเจ้าหญิงองค์หนึ่งจะดึงเขาออกจากลำธารแล้วป้อนอาหารจากจานของเธอให้เขาและนอนบนเตียงเป็นเวลาสามคืน “คุณครับ” เจ้าชายตรัส “คุณได้ทำลายมนต์สะกดอันโหดร้ายของผมแล้ว และตอนนี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า การเชิญคุณไปอาณาจักรของพ่อผมกับผม แล้วผมจะแต่งงานกับคุณที่นั่น และจะรักคุณไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต” เจ้าหญิงน้อยไม่ลังเลที่จะเห็นด้วยกับเจ้าชาย รถม้าสีสันสดใสได้เข้ามาใกล้ พร้อมกับม้าแสนสวยแปดตัวที่ประดับด้วยขนนกและอานม้าสีทอง ด้านหลังรถม้าคือไฮน์ริช ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเจ้าชาย ร้องไห้เป็นเวลานานกับความโชคร้ายของเจ้านายที่รักในขณะที่เจ้าชายตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด สะอื้นมากจนใจแทบแตกสลาย หลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวคำอำลาต่อพระราชา ขึ้นรถม้าพร้อมม้าแปดตัวไปอาณาจักรเจ้าชายกบโดยสวัสดิภาพ และอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป |
บทเรียนที่ได้รับจากเรื่อง บทเรียนจากเรื่อง “เจ้าชายกบ” สอนเราว่าความซื่อสัตย์และการเคารพต่อคำสัญญาเป็นสิ่งสำคัญมาก บางครั้งการกระทำที่เรียบง่ายแต่จริงใจก็อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีอย่างไม่คาดคิดได้
คำศัพท์
คำศัพท์ | ถอดเสียง | แปล |
Princess | /ˈprɪnsəs/ | เจ้าหญิง |
Bonnet | /ˈbɒnɪt/ | หมวก |
Clogs | /klɒɡz/ | รองเท้าส้นไม้ |
Wood | /wʊd/ | ป่า |
Spring | /sprɪŋ/ | ลำธาร |
Rose | /roʊz/ | ดอกกุหลาบ |
Rest | /rɛst/ | พักผ่อน |
Plaything | /ˈpleɪθɪŋ/ | เครื่องเล่น |
Tossing | /ˈtɔːsɪŋ/ | โยนขึ้น |
Bounded | /ˈbaʊndɪd/ | กระโดด |
Deep | /diːp/ | ลึก ลึกล้ำ |
Alas | /əˈlæs/ | อนิจจา โถ |
Pearls | /pɜːrlz/ | ไข่มุก |
Nasty | /ˈnæsti/ | น่ารําคาญ |
Nonsense | /ˈnɒnsəns/ | ไร้สาระ |
Dived | /daɪvd/ | ดำน้ำ |
Overjoyed | /ˌoʊvərˈdʒɔɪd/ | มีความสุขล้นเหลือ |
Knocked | /nɒkt/ | เคาะ |
Marble | /ˈmɑːrbl/ | หินอ่อน |
Astonished | /əˈstɒnɪʃt/ | น่าประหลาดใจ |
Enchanted | /ɪnˈtʃæntɪd/ | รู้สึกเคลิบเคลิ้ม หลงใหล |
Spiteful | /ˈspaɪtfəl/ | มุ่งร้าย |
Fate | /feɪt/ | โชคชะตา |
Bewailed | /bɪˈweɪld/ | คร่ำครวญ |
Servant | /ˈsɜːrvənt/ | คนรับใช้ |
>>> Read more: 10 บทความภาษาอังกฤษ พื้นฐานและเข้าใจง่าย
ประโยชน์ของการฝึกอ่านภาษาอังกฤษผ่านนิทาน

พัฒนาคลังคำศัพท์และไวยากรณ์
การอ่านนิทานภาษาอังกฤษเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายคำศัพท์และเสริมไวยากรณ์ เมื่อได้สัมผัสกับเรื่องราวที่หลากหลาย คุณจะได้พบกับคำศัพท์ใหม่ๆ และโครงสร้างประโยคที่แตกต่างกันมากมาย เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะไม่เพียงแต่เรียนรู้วิธีการใช้คำอย่างถูกต้อง แต่ยังได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกี่ยวกับสำนวนของเจ้าของภาษาอีกด้วย
พัฒนาทักษะการอ่านและการเข้าใจ
การอ่านนิทานช่วยให้คุณฝึกทักษะการอ่าน เพื่อความเข้าใจอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อคุณติดตามรายละเอียดในเรื่อง คุณจะค่อยๆ พัฒนาความสามารถในการเข้าใจแนวคิดหลัก อนุมาน และเชื่อมโยงข้อมูล สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหา แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดเชิงตรรกะของคุณอีกด้วย
พัฒนาความสามารถในการคิดและการตอบสนองอย่างรวดเร็วในการสื่อสาร
การฝึกอ่านนิทานภาษาอังกฤษเป็นประจำจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับวิธีใช้ภาษาในบริบทต่างๆ สิ่งนี้ไม่เพียงพัฒนาความคิดของคุณ แต่ยังช่วยให้คุณตอบสนองเร็วขึ้นเมื่อสื่อสารภาษาอังกฤษ ต้องขอบคุณรูปแบบประโยคและน้ำเสียงของเจ้าของภาษาเป็นประจำ
ขยายความรู้
การอ่านนิทานไม่เพียงช่วยให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังช่วยขยายความเข้าใจในโลกอีกด้วย แต่ละเรื่องนำเสนอความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรม สังคม ประวัติศาสตร์ และด้านอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งนี้ไม่เพียงเพิ่มพูนความรู้ของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณมีมุมมองชีวิตที่ลึกซึ้งและหลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

ELSA Premium Lifetime
9,999 บาท -> 6,799 บาท

ELSA Pro Lifetime
3,659 บาท -> 2,927 บาท

ELSA Premium 1 ปี
8,497 บาท -> 3,160 บาท

ELSA Pro 1 year
2,499 บาท -> 1,628 บาท
ข้อควรรู้ในการเลือกนิทานภาษาอังกฤษเพื่อฝึกอ่าน
เมื่อเลือกนิทานภาษาอังกฤษเพื่อฝึกอ่าน คุณควรคำนึงถึงประเด็นสำคัญบางประการ เพื่อทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและน่าสนใจยิ่งขึ้น
- เลือกนิทานที่เหมาะสมกับระดับของคุณ เริ่มต้นด้วยหนังสือที่มีภาษาที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย หากคุณเป็นผู้เรียนใหม่ หากเลือกนิทานที่ยากเกินไปจะหงุดหงิดง่ายและไม่เข้าใจเนื้อหาได้ครบถ้วน ในทางตรงกันข้าม หากคุณเลือกนิทานที่ง่ายเกินไป คุณก็ไม่สามารถบรรลุความก้าวหน้าตามที่ต้องการได้
- ใส่ใจกับความชอบส่วนตัว เลือกนิทานที่คุณสนใจและชื่นชอบจริงๆ หากคุณชอบการผจญภัย นักสืบ หรือนิยายวิทยาศาสตร์ ให้เลือกนิทานเล่มหนึ่งจากประเภทเหล่านี้ เมื่อคุณสนใจเนื้อหา การอ่านจะง่ายขึ้นและสนุกสนานยิ่งขึ้น
- ค้นหานิทานที่มีหัวข้อหลากหลาย พื่อเพิ่มพูนคำศัพท์และความรู้ คุณควรอ่านเรื่องราวที่มีหัวข้อที่หลากหลาย เช่น วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และชีวิตประจำวัน สิ่งนี้จะทำให้คุณได้สัมผัสกับภาษาที่หลากหลายและเข้าใจโลกได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- การใช้นิทานเวอร์ชันสองภาษา หากคุณไม่มั่นใจในความสามารถในการอ่าน เพื่อความเข้าใจ ให้เริ่มด้วยหนังสือที่มีเวอร์ชันสองภาษาหรือมีคำอธิบายประกอบด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ วิธีนี้จะช่วยให้คุณค้นหาความหมายของคำศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย และเข้าใจเนื้อหาของเรื่องได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ข้างต้นเป็นนิทานภาษาอังกฤษสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อให้คุณอ้างอิง หวังว่านิทานภาษาอังกฤษข้างต้นจะช่วยคุณในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง นอกจากนั้น อย่าลืมติดตาม ELSA Speak เพื่ออัพเดทความรู้ภาษาอังกฤษล่าสุดในทุกวันนะ
ชีวิตคือการเดินทางที่ยาวนาน บางครั้งเราพบกันที่ทางแยก แบ่งปันช่วงเวลาที่สวยงามของชีวิตด้วยกัน แล้วแยกทาง… บทความ ELSA Speak เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาถ้อยคำแห่งการแบ่งปันและ ประโยคบอกลาซึ้งๆ ภาษาอังกฤษ ที่ลึกซึ้งและมีความหมาย
ประโยคบอกเลิกยอดนิยมในภาษาอังกฤษ
ประโยค | ความหมาย |
I don’t think we’re compatible. | ฉันคิดว่าเราเข้ากันไม่ได้ |
I don’t feel the same way anymore. | ฉันไม่รู้สึกเหมือนเดิมอีกแล้ว |
I’m not happy in this relationship. | ฉันไม่มีความสุขในความสัมพันธ์นี้ |
I’m not ready for a serious relationship. | ฉันยังไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ที่จริงจัง |
I need some time to myself. | ฉันต้องการเวลาให้กับตัวเอง / ฉันต้องใช้เวลาให้กับตัวเอง |
I’m not in love with you anymore. | ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว |
I’m not sure if I ever loved you. | ฉันไม่แน่ใจว่าฉันเคยรักคุณจริงๆ ไหม |
I think we should see other people. | ฉันคิดว่าเราควรไปหาคนอื่น / ฉันคิดว่าเราควรได้เจอคนอื่น |
I’m ending our relationship. | ฉันจะยุติความสัมพันธ์ของเรา |
I’m breaking up with you. | ฉันจะเลิกกับคุณ |
You were a really good girlfriend/boyfriend, I think you deserve someone better. | คุณเป็นแฟนที่ดีนะ แต่ฉันคิดว่าคุณควรได้เจอคนที่ดีกว่านี้ |
You’re too good for me. | คุณดีเกินไปสำหรับฉัน |
I’m not ready for a relationship. | ฉันยังไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ |
I think we should stop seeing each other for a while. | ฉันว่าเราไม่ควรเจอกันสักพัก |
There are many things I need to focus on more than us. | ยังมีอีกหลายอย่างที่ฉันต้องใส่ใจให้มากกว่าเรื่องของเรา |
I just need some space. | ฉันต้องการพื้นที่ส่วนตัว |
I have tried so hard to be better but I feel like I’m just not up to your level. | ฉันพยายามอย่างมากที่จะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าฉันไม่คู่ควรกับคุณ |
It’s not you, it’s me. I don’t feel the same about you anymore. | มันไม่ใช่คุณหรอก แต่เป็นฉันเองแหละที่ไม่รู้สึกกับคุณเหมือนเดิม |
It’s really amazing when two strangers become the best of friends, but it’s really sad when the best of friends become two strangers. | วิเศษมากเลยนะเมื่อคนแปลกหน้าสองคนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ก็น่าเศร้าเมื่อเพื่อนที่ดีสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน |
Never say goodbye when you still want to try, never give up when you still feel you can’t take it. Never say you don’t love the person anymore when you can’t let go. | อย่าบอกลาเมื่อคุณยังอยากจะลอง อย่ายอมแพ้เมื่อคุณยังรู้สึกว่ารับมือไม่ไหว อย่าบอกว่าคุณไม่รักใครอีกต่อไปเมื่อคุณปล่อยวางไม่ได้ |
A million words would not bring you back, I know because I’ve tried. Neither would a million tears, I know because I’ve cried. | คำพูดนับล้านคำไม่อาจนำคุณกลับมาได้ ฉันรู้เพราะฉันได้พยายามแล้ว น้ำตานับล้านก็ไม่สามารถพาคุณกลับมาได้เช่นกัน ฉันรู้เพราะฉันได้ร้องไห้มาแล้ว |
Somehow they mentioned your name, and someone asked me if I knew you. Looking away I thought of all the times we had together, sharing laughter, tears, jokes, and tons more, and then, without explanation you were gone. I looked to where they were waiting for my answer and then I said softly, ‘Once… I thought I did.’ | พวกเขาเอ่ยชื่อคุณพร้อมกับมีคนถามฉันว่าฉันรู้จักคุณหรือไม่ ฉันมองไปทางอื่น และนึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยหัวเราะ ร้องไห้ เล่าเรื่องตลก และอีกมากมายร่วมกัน จากนั้นคุณก็หายไปโดยไม่ได้อธิบายอะไร ฉันมองไปยังที่ที่พวกเขารอคำตอบจากฉัน แล้วฉันก็พูดเบาๆ ว่า “ครั้งหนึ่ง… ฉันคิดว่าฉันนั้นรู้จักคุณ” |
What can I say, we have so many memories… so many things to look back on. I learned so much from you, gained so much. I loved the way you made me laugh, I hated the way you made me cry, but what I hated most was when we said good-bye. | ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ เรามีความทรงจำมากมาย… มีหลายสิ่งให้หวนคิดถึง ฉันได้เรียนรู้มากมายจากคุณ ได้รับอะไรมากมาย ฉันชอบวิธีที่คุณทำให้ฉันหัวเราะ ฉันเกลียดวิธีที่คุณทำให้ฉันร้องไห้ แต่สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือตอนที่เราบอกลากัน |
Let go. Why do you cling to pain? There is nothing you can do about the wrongs of yesterday. It is not yours to judge. Why hold on to the very thing which keeps you from hope and love? | ปล่อยวางเสียเถิด เหตุใดจึงยึดติดกับความเจ็บปวด ไม่มีอะไรที่คุณทำได้เลยเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะตัดสิน เหตุใดจึงยึดติดกับสิ่งที่ทำให้คุณไม่มีความรักและความหวังอีกต่อไป |

ประโยคบอกเลิกอย่างจริงใจในภาษาอังกฤษ
ประโยค | ความหมาย |
I’ve enjoyed our time together, but I think it’s time for us to go our separate ways. | ฉันมีความสุขกับช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแยกจากกัน |
I’ve realized that we’re not meant to be together. | ฉันได้ตระหนักแล้วว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดให้มาอยู่ด้วยกัน |
I wish you all the best in the future. | ฉันขอให้คุณโชคดีในอนาคต |

ประโยคบอกเลิกง่ายๆ ในภาษาอังกฤษ
ประโยค | ความหมาย |
I’m not interested in being with you anymore. | ฉันไม่สนใจที่จะอยู่กับคุณอีกต่อไป |
I’m not in love with you, and I don’t want to be with you. | ฉันไม่รักคุณ และฉันไม่อยากอยู่กับคุณ |
I’m ending our relationship because I’m not happy. | ฉันกำลังยุติความสัมพันธ์ของเราเพราะฉันไม่มีความสุข |
>>> Read more: เลิกกัน ภาษาอังกฤษ (Break up): คําศัพท์ วลี แคปชั่น บอกเลิก
ประโยคบอกลาซึ้งๆ ภาษาอังกฤษ ระบุเหตุผล
ประโยค | ความหมาย |
I’m ending our relationship because I’m moving to another city. | ฉันขอยุติความสัมพันธ์ของเราเพราะฉันจะย้ายไปเมืองอื่น |
I’m ending our relationship because I’m not ready for a committed relationship. | ฉันขอยุติความสัมพันธ์ของเราเพราะฉันยังไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ที่จริงจัง |
I’m ending our relationship because I’ve met someone else. | ฉันขอยุติความสัมพันธ์ของเราเพราะฉันได้พบใครบางคน |

ประโยคบอกเลิกเป็นภาษาอังกฤษพร้อมคำขอโทษ
ประโยค | ความหมาย |
I’m sorry, but I need to end our relationship. | ฉันขอโทษ แต่ฉันจำเป็นต้องยุติความสัมพันธ์ของเรา |
I know this is going to hurt you, but I can’t do this anymore. | ฉันรู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้คุณเจ็บปวด แต่ฉันไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อีกต่อไป |
I hope you can forgive me for what I’m doing. | ฉันขอยุติความสัมพันธ์ของเราเพราะฉันได้พบใครบางคน |
ประโยคบอกเลิกเศร้าๆ เป็นภาษาอังกฤษ
ประโยคบอกเลิก ภาษาอังกฤษ | ความหมาย |
I’m so sad to be ending our relationship. | ฉันเสียใจมากที่ต้องยุติความสัมพันธ์ของเรา |
I’ll never forget you. | ฉันจะไม่มีวันลืมคุณ |
I hope we can still be friends. | ฉันหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ |

>>> Read more: รวบรวมคําคมเศร้าๆในภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับชีวิตและความรัก
ประโยคบอกเลิกแบบเด็ดขาด
ประโยค | ความหมาย |
I’m not going to let this relationship drag on any longer. | ฉันจะไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์นี้ยืดเยื้อต่อไปอีก |
I’m done with this relationship. | ฉันหมดหวังกับความสัมพันธ์นี้แล้ว |
I’m moving on with my life. | ฉันต้องการเดินหน้าต่อไปในชีวิตของฉัน |

ประโยคบอกลาซึ้งๆ ภาษาอังกฤษ สั้นๆ
ประโยคบอกลาซึ้งๆ ภาษาอังกฤษ | ความหมาย |
I’m not coming back. | ฉันจะไม่กลับมาอีก |
Don’t contact me again. | อย่าติดต่อฉันอีก |
I’m never going to forgive you. | ฉันจะไม่มีวันให้อภัยคุณ |
ELSA Speak เพิ่งแชร์ 30+ ประโยคบอกลาซึ้งๆ ภาษาอังกฤษ ให้กับคุณ หวังว่ามันจะช่วยให้คุณเลือกแคปชั่นที่เหมาะสมได้ จดบันทึกบทเรียนนี้ไปพร้อมกับ ELSA Speak เพื่อนำไปประยุกต์ใช้จริงในการสื่อสาร และหวังว่าคุณจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
ตกใจ ภาษาอังกฤษ ใช้เพื่อบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดหรือประหลาดใจเป็นอย่างมาก มาร่วมสำรวจคำศัพท์และวิธีการแสดงความตกใจอย่างเป็นธรรมชาติกับ ELSA Speak ตอนนี้ ช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจมากขึ้น!
ตกใจภาษาอังกฤษคืออะไร?
Shock คืออะไร?

Shock สามารถใช้เป็นคำนามหรือคำกริยา หมายถึงความรู้สึกที่ได้รับผลกระทบทางอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น ความประหลาดใจ ความงุนงง หรือความมึนงง
ตัวอย่าง: She couldn’t hide her shock when she heard the news. (เธอไม่สามารถซ่อนความตกใจของเธอได้เมื่อได้ยินข่าวนั้น)
คำคุณศัพท์ของ shock คืออะไร?

คำคุณศัพท์ | ความหมาย | การใช้งาน | ตัวอย่าง |
Shocking | น่าตกใจ ทำให้ช็อก | ใช้เพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่น่าเชื่อหรือยอมรับไม่ได้ | The news was shocking to everyone in the room. (ข่าวนี้น่าตกใจสำหรับทุกคนในห้อง) |
Shocked | ตกใจ ช็อก | ใช้เพื่ออธิบายสภาวะอารมณ์ของคนเมื่อได้รับข้อมูลที่ทำให้ตกใจ | She was shocked to hear about the accident. (เธอรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเรื่องอุบัติเหตุ) |
Unshocked | ไม่ตกใจ | ใช้เพื่ออธิบายสภาวะที่ไม่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลที่ทำให้ตกใจ | He remained unshocked by the surprising turn of events. (เขาไม่ตกใจกับเหตุการณ์ที่พลิกผัน) |
การเข้าใจการใช้งานเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถแสดงความรู้สึกตกใจและความประหลาดใจในภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้อง
วลี Shock บวกกับอะไร?

ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ shock สามารถใช้ร่วมกับคำต่างๆ เพื่อแสดงความรู้สึกที่รุนแรง ตัวอย่างเช่น:
วลี | ความหมาย | สถานการณ์ที่ใช้ | ตัวอย่าง |
Culture shock | ช็อกวัฒนธรรม | มื่อมีคนประสบกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมในสถานที่ใหม่ | Moving to a new country gave me a big culture shock. (การย้ายไปอยู่ประเทศใหม่ทำให้ฉันตกใจกับวัฒนธรรมที่แตกต่างมาก) |
Shock therapy | การบำบัดด้วยการช็อก | มักใช้ในทางการแพทย์หรือจิตวิทยา | He used shock therapy to recover quickly from his mental issues. (เขาใช้การบำบัดด้วยการช็อกเพื่อฟื้นตัวจากปัญหาทางจิตใจอย่างรวดเร็ว) |
Shock value | คุณค่าที่สร้างความตกใจ | ใช้เมื่ออธิบายผลกระทบจากการทำให้ประหลาดใจหรือตื่นตะลึง | The movie relied on shock value to keep the audience engaged. (ภาพยนตร์ใช้คุณค่าที่สร้างความตกใจเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม) |
วลีที่ใช้แสดงอาการตกใจ
ด้านล่างนี้คือวลีที่ช่วยแสดงความตกใจเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงและน่าเหลือเชื่อในชีวิต วลีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คุณถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างชัดเจน แต่ยังสร้างความเข้าใจร่วมกันเมื่อแบ่งปันข่าวหรือเหตุการณ์ที่น่าตกใจ
วลี | ความหมาย | ตัวอย่าง |
I was shocked to hear… | ฉันตกใจเมื่อได้ยิน… | I was shocked to hear the news. (ฉันตกใจเมื่อได้ยินข่าวนี้) |
The news came as a complete shock. | ข่าวนี้ทำให้ตกใจอย่างมาก | The news came as a complete shock to everyone. (ข่าวนี้ทำให้ทุกคนตกใจอย่างมาก) |
We’re all in complete shock. | พวกเราทุกคนตกใจอย่างมาก | We’re all in complete shock after the announcement. (พวกเราทุกคนตกใจอย่างมากหลังจากประกาศนั้น) |
Everyone’s reeling from the shock of… | ทุกคนกำลังตกใจกับ… | Everyone’s reeling from the shock of the accident. (ทุกคนกำลังตกใจกับอุบัติเหตุ) |
It happened out of the blue. | มันเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด | The accident happened out of the blue. (อุบัติเหตุเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด) |
Who could have predicted it? | ใครจะคาดเดาได้ว่า… | Who could have predicted this sudden event? (ใครจะคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น?) |
I (just) can’t get over … | ฉันไม่สามารถทำใจได้กับ… | I just can’t get over the loss of my pet. (ฉันไม่สามารถทำใจได้กับการสูญเสียสัตว์เลี้ยงของฉัน) |
We were completely taken aback by… | พวกเราตกใจอย่างมากกับ… | We were completely taken aback by the news. (พวกเราตกใจอย่างมากกับข่าวนี้) |
I was just stunned by… | ฉันเพิ่งตกใจมากกับ… | I was just stunned by his sudden resignation. (ฉันเพิ่งตกใจมากกับการลาออกอย่างกะทันหันของเขา) |
I just can’t believe… | ฉันไม่สามารถเชื่อได้ว่า… | I just can’t believe what I heard. (ฉันไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่ฉันได้ยิน) |
It’s unbelievable. | มันเหลือเชื่อมาก | It’s unbelievable that they won. (มันเหลือเชื่อมากที่พวกเขาชนะ) |
I / You just can’t imagine… | ฉัน/คุณไม่สามารถจินตนาการได้ว่า… | You just can’t imagine the impact of the news. (คุณไม่สามารถจินตนาการถึงผลกระทบของข่าวนี้ได้) |
Words can’t describe… | ไม่มีคำใดสามารถอธิบายได้ว่า… | Words can’t describe the devastation of the earthquake. (ไม่มีคำใดสามารถอธิบายความเสียหายจากแผ่นดินไหวได้) |
There’s no way it could have happened. | ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นได้ | There’s no way it could have happened without warning. (ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีคำเตือน) |

วิธีอื่นๆในการพูดว่า ฉันตกใจ ภาษาอังกฤษ
หากต้องการแสดงความรู้สึกว่า ฉันตกใจ ด้วยวิธีอื่นในภาษาอังกฤษ สามารถใช้วลีต่อไปนี้:
คำพูด | ความหมาย | สถานการณ์ที่ใช้ | ตัวอย่าง |
I’m in complete shock | ฉันตกใจอย่างมาก | เมื่อรู้สึกตกใจอย่างมาก โดยไม่ทันตั้งตัว | I just heard the news, and I’m in complete shock. (ฉันเพิ่งได้ยินข่าวนี้ และฉันตกใจอย่างมาก) |
I’m beyond shocked | ฉันตกใจสุดๆ | เมื่อรู้สึกตกใจอย่างมากในระดับที่เหนือกว่าปกติ | After seeing the results, I’m beyond shocked. (หลังจากเห็นผลลัพธ์ ฉันตกใจสุดๆ) |
I’m stunned | ฉันรู้สึกมึนงง | เมื่อรู้สึกตกใจจนไม่สามารถตอบสนองหรือพูดอะไรออกมาได้ | I’m stunned by what happened. (ฉันรู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น) |
I’m speechless | ฉันพูดไม่ออก | เมื่อรู้สึกตกใจจนไม่สามารถพูดอะไรได้ | I’m completely speechless at this news. (ฉันพูดไม่ออกกับข่าวนี้) |
I can’t believe my ears / eyes | ฉันไม่เชื่อในหู/ตาของตัวเอง | เมื่อไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่ได้ยินหรือเห็น | I can’t believe my eyes! Is that really you? (ฉันไม่เชื่อในตาของตัวเอง! นั่นใช่คุณจริงๆ หรือ?) |
I’m lost for words | ฉันไม่รู้จะพูดอะไร | เมื่อรู้สึกตกใจจนไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้ | I’m lost for words; I didn’t expect this. (ฉันไม่รู้จะพูดอะไรเลย ฉันไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น) |
I’m astounded | ฉันตกใจอย่างมาก | เมื่อบางสิ่งบางอย่างทำให้ตกใจและประทับใจอย่างมาก | I’m astounded by the changes in the project. (ฉันตกใจมากกับการเปลี่ยนแปลงในโครงการ) |
I’m flabbergasted | ฉันตกใจจนพูดไม่ออก | เมื่อรู้สึกตกใจและงุนงงกับบางสิ่งบางอย่าง | I’m flabbergasted that she did that! (ฉันตกใจจนพูดไม่ออกที่เธอทำแบบนั้น!) |
I’m taken aback | ฉันตกใจและประหลาดใจ | เมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่คาดคิด | I was taken aback by his sudden reaction. (ฉันตกใจกับปฏิกิริยากะทันหันของเขา) |
I’m in disbelief! | ฉันไม่อยากเชื่อเลย | เมื่อไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน | I’m in disbelief at what I just saw. ฉันไม่อยากเชื่อสิ่งที่ฉันเพิ่งเห็น) |
My mind is blown | ฉันตกใจมาก | เมื่อบางสิ่งบางอย่างเกินความคาดหมายหรือเหนือกว่าความรู้ | My mind is blown by the beauty of this place. (ฉันตกใจกับความสวยงามของที่นี่) |
Well, butter my biscuit! (US) | ฉันประหลาดใจจริงๆ | วิธีพูดแบบไม่เป็นทางการเมื่อรู้สึกตกใจและแปลกใจมาก (มักใช้ในสหรัฐอเมริกา) | Well, butter my biscuit! I didn’t see that coming. (โอ้ ฉันประหลาดใจมาก! ฉันไม่คาดคิดว่าจะเป็นแบบนั้น) |
I’m gobsmacked (UK) | ฉันตกใจมาก | เมื่อรู้สึกตกใจอย่างรุนแรง มักใช้ในภาษาอังกฤษแบบบริติช | I’m gobsmacked by how quickly things changed. (ฉันตกใจกับความเร็วของการเปลี่ยนแปลงนี้) |
Knock me down with a feather! (UK) | ฉันตกใจจนไม่อยากเชื่อ | เมื่อบางสิ่งบางอย่างทำให้ตกใจและสับสนอย่างมาก (ภาษาอังกฤษแบบบริติช) | Well, knock me down with a feather! That’s incredible! (โอ้ ฉันตกใจจนไม่อยากเชื่อเลย! นั่นน่าทึ่งมาก!) |

ELSA Premium Lifetime
9,999 บาท -> 6,799 บาท

ELSA Pro Lifetime
3,659 บาท -> 2,927 บาท

ELSA Premium 1 ปี
8,497 บาท -> 3,160 บาท

ELSA Pro 1 year
2,499 บาท -> 1,628 บาท
วิธีพูดถึงความตกใจกลัว ภาษาอังกฤษ
เมื่อคุณตกใจเพราะความกลัว เจ้าของภาษามักใช้วลีเฉพาะเพื่อแสดงความรู้สึกนั้น คำอุทานเหล่านี้ช่วยให้คุณถ่ายทอดความกลัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือชวนให้กังวล ต่อไปนี้คือวิธีแสดงความรู้สึกกลัวในภาษาอังกฤษ:
คำพูด | ความหมาย | สถานการณ์ที่ใช้ | ตัวอย่าง |
Oh no! | โอ้ ไม่นะ! | เมื่อรู้ตัวว่ามีบางอย่างที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น | Oh no! I forgot my keys! (โอ้ ไม่นะ! ฉันลืมกุญแจไว้!) |
I’m so scared! | ฉันกลัวมาก! | เมื่ออยากแสดงความกลัวโดยตรง | I’m so scared of the dark! (ฉันกลัวความมืดมาก!) |
What the heck! | นั่นมันอะไรกัน! | เมื่อเจอสิ่งที่น่ากลัวอย่างกะทันหัน | What the heck is that noise? (เสียงนั้นคืออะไร!) |
Yikes! | โอ้ย! | เมื่อเจอบางอย่างที่ทำให้กลัวหรือไม่สบายใจ | Yikes! That was close! (โอ้ย! เกือบตายแล้ว!) |
Oh my word! | โอ้ พระเจ้า! | เมื่อรู้สึกตกใจและมีความกังวลหรือกลัว | Oh my word! That’s terrifying! (โอ้ พระเจ้า! น่ากลัวจริง ๆ!) |
I’m freaking out! | ฉันกลัวจนทำอะไรไม่ถูก! | เมื่ออยากบอกว่าคุณกำลังกลัวมาก | I’m freaking out! What was that sound? (ฉันกลัวมาก! เสียงนั้นคืออะไร!) |
This is terrifying! | น่ากลัวมาก! | เมื่อเจอสถานการณ์ที่น่ากลัวอย่างมาก | This is terrifying! I can’t look! (มันน่ากลัวมาก! ฉันไม่กล้ามอง!) |

วิธีพูดถึงความตกใจด้วยความยินดีในภาษาอังกฤษ
เมื่อได้รับข่าวดีอย่างไม่คาดคิดหรือพบเจอสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข มีหลายวิธีที่ช่วยให้คุณแสดงความยินดีในภาษาอังกฤษ คำอุทานด้านล่างนี้จะช่วยให้คุณแสดงความตื่นเต้นได้อย่างมีชีวิตชีวาและเป็นธรรมชาติในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างไม่คาดฝัน
คำพูด | ความหมาย | สถานการณ์ที่ใช้ | ตัวอย่าง |
Oh my goodness! | โอ้ พระเจ้า! | เมื่อรู้สึกดีใจกับสิ่งอะไรบางอย่างอย่างกะทันหัน | Oh my goodness! You did it! (โอ้ พระเจ้า! คุณทำได้แล้ว!) |
I’m so happy! | ฉันดีใจมาก! | เมื่ออยากแสดงความดีใจในสิ่งที่เกิดขึ้น | I’m so happy to see you! (ฉันดีใจมากที่ได้เจอคุณ!) |
This is amazing! | นี่ช่างยอดเยี่ยม! | เมื่อรู้สึกดีใจและประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น | This is amazing! I can’t believe it! (นี่ช่างยอดเยี่ยม! ฉันไม่อยากเชื่อเลย!) |
Fantastic! | ยอดเยี่ยม! | เมื่อรู้สึกดีใจที่ได้รับข่าวดี | Fantastic! We won the game! (ยอดเยี่ยม! เราชนะเกมแล้ว!) |
That’s wonderful! | นั่นยอดเยี่ยม! | เมื่ออยากชมเชยและแสดงความดีใจ | That’s wonderful! You deserve it! (นั่นยอดเยี่ยม! คุณคู่ควรมาก!) |
I’m thrilled! | ฉันดีใจมาก! | เมื่อคุณรู้สึกตื่นเต้นหรือมีความสุขอย่างมาก | I’m thrilled to hear the news! (ฉันดีใจมากที่ได้ยินข่าวนี้!) |
ด้วยวลีเหล่านี้ หวังว่าคุณจะเข้าใจวิธีแสดงความรู้สึก ตกใจ ภาษาอังกฤษ ได้ดีขึ้น อย่าลืมฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอกับ ELSA Speak เพื่อให้คุณแสดงความรู้สึกได้อย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องในชีวิตประจำวันนะคะ!
คุณเคยคิดที่จะอธิบายการทำงานบ้าน ภาษาอังกฤษ บ้างไหม? ตั้งแต่การทำความสะอาดและทำอาหารไปจนถึงการซักผ้าและสิ่งของที่คุณใช้ทำงานบ้าน ตาม ELSA Speak มาค้นหาคำศัพท์และโครงสร้างที่เป็นประโยชน์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับหัวข้อนี้ให้ดียิ่งขึ้น !
ทํางานบ้าน ภาษาอังกฤษ คือ? วิธีอ่านและตัวอย่าง
ทำงานบ้านภาษาอังกฤษแปลว่าอะไร? คำจำกัดความของ Housework/ Do housework/ Do household chores ตามพจนานุกรมสองฉบับ Cambridge และ Lexitron-2 ของ NECTEC ดังนี้:

คำศัพท์ | Housework | Do housework | Do household chores |
ความหมาย | งานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลและทำความสะอาดบ้าน Housework อาจรวมถึงการทำอาหาร ทำความสะอาด ซักผ้า และงานบ้านอื่นๆ เพื่อให้บ้านสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย | เป็นการแสดงออกถึงการกระทำของการทำงานบ้าน | มักจะหมายถึงงานเฉพาะรอบบ้าน |
คำอ่าน | /ˈhaʊˌswɜrk/ | /du ˈhaʊˌswɜrk/ | /du ˈhaʊshəʊld tʃɔːrz/ |
ตัวอย่าง | After a long week at work, I spend my weekends catching up on housework. (หลังจากทำงานมาทั้งสัปดาห์ ฉันใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์เพื่องานบ้าน) | I have to do housework before my guests arrive. (ฉันต้องทำงานบ้านก่อนที่แขกจะมาถึง) | Every Saturday, my family and I do household chores together, like cleaning the bathrooms and vacuuming. (ทุกวันเสาร์ ฉันและครอบครัวทำงานบ้านร่วมกัน เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำและดูดฝุ่น) |
คําศัพท์ทํางานบ้าน ภาษาอังกฤษ รวมตัวอย่างสั้น ๆ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับงานบ้านทั่วไปที่คุณสามารถใช้ในชีวิตประจำวัน:

คําศัพท์ทํางานบ้าน ภาษาอังกฤษ | คำอ่าน | ความหมาย | ตัวอย่าง |
Brew coffee/ tea | /bruː ˈkɒfi//bruː tiː/ | การชงกาแฟ/ชา | I like to brew coffee/ tea every morning. (ฉันชอบชงกาแฟ/ชาทุกเช้า) |
Clean the dust | /kliːn ðə dʌst/ | ทำความสะอาดฝุ่น | I need to clean the dust from the shelves. (ฉันจำเป็นต้องทำความสะอาดฝุ่นจากชั้นวาง) |
Clean the house | /kliːn ðə haʊs/ | ทำความสะอาดบ้าน | We should clean the house before the guests arrive. (เราควรทำความสะอาดบ้านก่อนที่แขกจะมาถึง) |
Clean the bathroom | /kliːn ðə ˈbæθruːm/ | ทำความสะอาดห้องน้ำ | She will clean the bathroom this afternoon. (ในช่วงบ่ายนี้ เธอจะทำความสะอาดห้องน้ำ) |
Change the sheets | /tʃeɪndʒ ðə ʃiːts/ | เปลี่ยนผ้าปูที่นอน | It’s time to change the sheets on the bed. (ถึงเวลาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนแล้ว) |
Clean the windows | /kliːn ðə ˈwɪndəʊz/ | ทำความสะอาดหน้าต่าง | We need to clean the windows before the guests arrive. (เราจะต้องทำความสะอาดหน้าต่างก่อนที่แขกจะมาถึง) |
Chop the wood | /tʃɒp ðə wʊd/ | สับไม้ | He goes to the forest to chop the wood for the fireplace. (เขาไปที่ป่าเพื่อสับไม้สำหรับทำเตาผิง) |
Do most of the cooking | duː moʊst ʌv ðə ˈkʊkɪŋ/ | ทำงานบ้านในครัว | I usually do most of the cooking in our family. (ฉันมักจะทำอาหารส่วนใหญ่ในครอบครัวของพวกเรา) |
Do the cooking | /duː ðə ˈkʊkɪŋ/ | ทำอาหาร | It’s my turn to do the cooking tonight. (คืนนี้ถึงคราวของฉันที่ต้องทำอาหารแล้ว) |
Do the laundry | /duː ðə ˈlɔːndri/ | ซักผ้า | I have to do the laundry this weekend. (สุดสัปดาห์นี้ ฉันต้องซักผ้า) |
Do heavy lifting | /duː ˈhɛvi ˈlɪftɪŋ/ | ยกของหนัก | He often helps his grandpa do heavy lifting in his house. (เขาช่วยปู่ยกของหนักในบ้านบ่อยๆ) |
Dry the dishes | /draɪ ðə ˈdɪʃɪz/ | ล้างจานให้แห้ง | After washing, I always dry the dishes. (หลังจากล้างจานเสร็จฉันก็เช็ดจานให้แห้งเสมอ) |
Dust the furniture | /dʌst ðə ˈfɜrnɪtʃər/ | ปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ | I need to dust the furniture in the living room. (ฉันต้องปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั่งเล่น) |
Fold the laundry | /foʊld ðə ˈlɔːndri/ | พับผ้า | After washing, please fold the laundry neatly. (หลังจากซักผ้า เสร็จแล้วควรพับผ้าให้เรียบร้อย) |
Fold the blankets | /foʊld ðə ˈblæŋkɪts/ | พับผ้าห่ม | Please fold the blankets after using them. (กรุณาพับผ้าห่มหลังใช้งาน) |
Feed the dog | /fiːd ðə dɔːg/ | ให้อาหารหมา | Don’t forget to feed the dog before you leave. (อย่าลืมให้อาหารหมาก่อนออกเดินทาง) |
Go to the market | /ɡoʊ tə ðə ˈmɑrkɪt/ | ไปตลาด | I will go to the market to buy some groceries. (ฉันจะไปตลาดเพื่อซื้อของชำ) |
Grocery shopping | /ˈɡroʊsəri ˈʃɑːpɪŋ/ | ซื้อของชำ | We need to do grocery shopping this weekend. (สุดสัปดาห์นี้เราต้องไปซื้อของชำ) |
Hang up the laundry | /hæŋ ʌp ðə ˈlɔːndri/ | ตากผ้า | I will hang up the laundry to dry outside. (ฉันจะตากผ้าไว้ข้างนอก) |
Iron clothes | /ˈaɪərn kloʊðz/ | เตารีดเสื้อผ้า | I need to iron clothes for the meeting. (ฉันต้องรีดเสื้อผ้าไปประชุม) |
Make the bed | /meɪk ðə bɛd/ | ปูเตียง | Please make the bed after you get up. (กรุณาจัดเตียงหลังจากตื่นนอน) |
Mop the floor | /mɒp ðə flɔːr/ | ถูพื้น | I will mop the floor after dinner. (ฉันจะถูพื้นหลังอาหารเย็น) |
Mow the lawn | /moʊ ðə lɔːn/ | ตัดหญ้า | It’s time to mow the lawn again. (ถึงเวลาตัดหญ้าอีกแล้ว) |
Organize the closet | /ˈɔːrɡənaɪz ðə ˈklɒzɪt/ | จัดตู้เสื้อผ้า | I need to organize the closet this weekend. (ฉันต้องจัดตู้เสื้อผ้าสุดสัปดาห์นี้) |
Put back the toys | /pʊt bæk ðə tɔɪz/ | เก็บของเล่นกลับคืน | Please put back the toys after playing. (กรุณาเก็บของเล่นหลังจากเล่นเสร็จ) |
Pick up clutter | /pɪk ʌp ˈklʌtər/ | เก็บของที่รกรุงรัง | We need to pick up clutter in the living room. (เราต้องเก็บกวาดความรกในห้องนั่งเล่น) |
Paint the wall/ fence | /peɪnt ðə wɔːl – fɛns/ | ทาสีผนัง/รั้ว | They plan to paint the fence this summer. (พวกเขาวางแผนที่จะทาสีรั้วในช่วงฤดูร้อนนี้) |
Prune the trees and shrubs | /pruːn ðə triːz ænd ʃrʌbz/ | การตัดแต่งต้นไม้และพุ่มไม้ | It’s time to prune the trees and shrubs in the garden. (ถึงเวลาที่จะตัดแต่งต้นไม้และพุ่มไม้ในสวนแล้ว) |
Plow snow | /plaʊ snoʊ/ | ไถหิมะ | He has to plow snow after the storm. (เขาต้องไถหิมะหลังพายุเข้า ) |
Rake the leaves | /reɪk ðə liːvz/ | กวาดใบไม้ | We need to rake the leaves in the backyard.(เราจะต้องกวาดใบไม้ในสวนหลังบ้าน) |
Replace the light bulb | /rɪˈpleɪs ðə laɪt bʌlb/ | เปลี่ยนหลอดไฟ | I need to replace the light bulb in the living room. (ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนหลอดไฟในห้องนั่งเล่น) |
Sort out the fridge | /sɔːrt aʊt ðə frɪdʒ/ | จัดตู้เย็น | Let’s sort out the fridge and throw away expired food. (มาจัดตู้เย็นและทิ้งอาหารหมดอายุกันเถอะ) |
Sweep the floor | /swiːp ðə flɔːr/ | กวาดบ้าน | I need to sweep the floor every morning. (ฉันต้องกวาดบ้านทุกเช้า) |
Sweep the yard | /swiːp ðə jɑːrd/ | กวาดลาน | He is outside to sweep the yard.(เขาอยู่ข้างนอกเพื่อกวาดลาน) |
Scrub the floor | /skrʌb ðə flɔːr/ | ขัดพื้น | I have to scrub the floor to get rid of the stains. (ฉันต้องขัดพื้นเพื่อขจัดคราบ) |
Scrub the toilet | /skrʌb ðə ˈtoʊɪlət/ | ขัดห้องน้ำ | It’s important to scrub the toilet regularly. (การขัดห้องน้ำเป็นประจำถือเป็นสิ่งสำคัญ) |
Sew the clothes | /soʊ ðə kloʊðz/ | เย็บผ้า | She loves to sew clothes for her children. (เธอชอบเย็บเสื้อผ้าให้ลูกๆ ของเธอ) |
Set the table/Lay the table for meals | /sɛt ðə ˈteɪbl/ /leɪ ðə ˈteɪbl fɔːr miːlz/ | จัดโต๊ะ | Please set the table/ Lay the table for dinner. (กรุณาจัดโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเย็น) |
Take out the trash/ rubbish | /teɪk aʊt ðə træʃ/ | นำขยะไปทิ้ง | Please take out the trash before it overflows. (กรุณานำขยะไปทิ้งก่อนจะล้น) |
Tidy up the room | /ˈtaɪdi ʌp ðə ruːm/ | จัดห้อง | Can you tidy up the room before your friends come? (คุณสามารถจัดห้องให้เรียบร้อยก่อนที่เพื่อนของคุณจะมาได้หรือไม่?) |
Vacuum the floor | /ˈvækjuːm ðə flɔːr/ | ดูดฝุ่นพื้น | I will vacuum the floor on Saturday. (ในวันเสาร์ฉันจะดูดฝุ่นที่พื้น) |
Vacuum the rug | /ˈvækjuːm ðə rʌɡ/ | ดูดฝุ่นพรม | Make sure to vacuum the rug after the party. (หลังปาร์ตี้อย่าลืมดูดฝุ่นพรม) |
Wash the car | /wɒʃ ðə kɑːr/ | ล้างรถ | It’s a nice day to wash the car. (วันนี้เป็นวันที่ดีที่จะล้างรถ) |
Water the plants | /ˈwɔːtər ðə plænts/ | รดน้ำต้นไม้ | Don’t forget to water the plants while I’m away. (อย่าลืมรดน้ำต้นไม้ตอนที่ฉันไม่อยู่นะ) |
Wash the ingredients | /wɒʃ ði ɪnˈɡriːdiənts/ | ล้างส่วนผสม | Make sure to wash the ingredients before cooking. (อย่าลืมล้างส่วนผสมก่อนปรุงอาหาร) |
Wash the glasses | /wɒʃ ðə ˈɡlæsɪz/ | ล้างแก้ว | I need to wash the glasses after the party. (ฉันต้องล้างแก้วหลังปาร์ตี้) |
Wash the dishes/ Do the washing-up | /wɒʃ ðə ˈdɪʃɪz/ /duː ðə ˈwɒʃɪŋ ʌp/ | ล้างจาน | I’ll wash the dishes/ do the washing-up after dinner (ฉันจะล้างจานหลังอาหารเย็น) |
Weed the garden | /wiːd ðə ˈgɑːdn/ | ถอนหญ้าในสวน | It’s time to weed the garden again.(ถึงเวลาที่จะต้องถอนหญ้าในสวนอีกแล้ว) |
Wipe the countertops | /waɪp ðə ˈkaʊntərˌtɑːps/ | เช็ดเคาน์เตอร์ท็อป | Please wipe the countertops after cooking. (กรุณาเช็ดเคาน์เตอร์หลังทำอาหาร) |
>>> Read more: 90+ คำศัพท์และตัวอย่างประโยคกิจวัตรประจําวัน (daily routine)
คำศัพท์เกี่ยวกับเครื่องมือช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านภาษาอังกฤษ
เครื่องมือที่สำคัญที่คุณมักใช้ทุกวันเพื่อ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ภาษาอังกฤษ :

คําศัพท์ | คำอ่าน | ความหมาย | ตัวอย่าง |
Bleach | /bliːʧ/ | น้ำยาซักผ้าขาว | I use bleach to whiten my laundry. (ฉันใช้น้ำยาซักผ้าขาวเพื่อทำให้ผ้าของฉันขาวขึ้น) |
Broom | /brʊm/ | ไม้กวาด | Please grab the broom to sweep the floor. (กรุณาหยิบไม้กวาดกวาดพื้น) |
Bucket | /ˈbʌkɪt/ | ถังน้ำ | Fill the bucket with water for mopping. (เติมน้ำลงในถังเพื่อถูพื้น) |
Cloth | /klɒθ/ | ผ้า | Use a soft cloth to clean the windows. (ใช้ผ้านุ่มๆเช็ดทำความสะอาดหน้าต่าง) |
Clothesline | /ˈkləʊðzlaɪn/ | ราวแขวนเสื้อ | Hang the wet clothes on the clothesline to dry. (แขวนผ้าเปียกบนราวแขวนเสื้อให้แห้ง) |
Clothespin | /ˈkləʊðzpɪn/ | ไม้หนีบผ้า ที่หนีบผ้า | Use a clothespin to secure the clothes on the line. (ใช้ไม้หนีบผ้าหนีบผ้าไว้บนราวตากผ้า) |
Dirty clothes hamper | /ˈdɜːti kləʊðz ˈhæmpə/ | ตะกร้าผ้าสกปรก | Put your dirty clothes in the dirty clothes hamper. (ใส่เสื้อผ้าสกปรกของคุณลงในตะกร้าใส่เสื้อผ้า) |
Dish towels | /dɪʃ ˈtaʊəlz/ | ผ้าเช็ดจานชาม | I need clean dish towels to dry the dishes.(ฉันต้องการผ้าเช็ดจานที่สะอาดเพื่อเช็ดจานให้แห้ง) |
Dryer | /ˈdraɪə/ | เครื่องเป่าแห้ง เครื่องอบผ้า | I put the wet clothes in the dryer to dry them. (ฉันใส่ผ้าเปียกในเครื่องอบผ้าเพื่อทำให้แห้ง) |
Duster | /ˈdʌstə/ | ไม้ขนไก่สำหรับปัดกวาด | Use a duster to remove dust from the shelves. (ใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นออกจากชั้นวาง) |
Dustpan | /ˈdʌstpæn/ | ที่ตักผง | Sweep the dirt into the dustpan. (กวาดสิ่งสกปรกลงในที่ตักผง) |
Fly swatter | /flaɪ ˈswɒtə/ | ไม้ตีแมลงวัน | I used a fly swatter to catch the flies. (ฉันใช้ไม้ตีแมลงวันเพื่อตีแมลงวัน) |
Hanger | /ˈhæŋə/ | ที่แขวน | Hang your clothes on a hanger after ironing. (แขวนเสื้อผ้าของคุณบนที่แขวนหลังจากรีดเสร็จ) |
Hose | /həʊz/ | ท่อยางสายยาง | I used a hose to water the garden.(ฉันใช้สายยางรดน้ำสวน) |
Iron | /ˈaɪən/ | เตารีด | To keep your clothes flat with an iron. (ใช้เตารีดเพื่อให้เสื้อผ้าของคุณเรียบเสมอกัน) |
Ironing board | /ˈaɪənɪŋ bɔːd/ | ที่รองรีด | Set up the ironing board to iron your clothes. (ตั้งที่รองรีดเพื่อรีดผ้าของคุณ) |
Laundry basket | /ˈlɔːndri ˈbɑːskɪt/ | ตะกร้าผ้า | Put the clean clothes in the laundry basket. (ใส่เสื้อผ้าสะอาดลงในตะกร้าผ้า) |
Laundry soap/ laundry detergent | /ˈlɔːndri səʊp/ /ˈlɔːndri dɪˈtɜːʤənt/ | ผงซักฟอก | I use laundry soap/laundry detergent to wash my clothes. (ฉันใช้ผงซักฟอกในการซักผ้าของฉัน) |
Lawn mower | /lɔːn ˈməʊə/ | เครื่องตัดหญ้า | He uses a lawn mower to cut the grass in the yard. (เขาใช้เครื่องตัดหญ้าตัดหญ้าในสนามหญ้า) |
Liquid soap | /ˈlɪkwɪd səʊp/ | สบู่เหลว | I prefer liquid soap for washing my hands. (ฉันชอบใช้สบู่เหลวล้างมือมากกว่า) |
Mop | /mɒp/ | ไม้ถูพื้น | Use a mop to clean the floor. (ใช้ไม้ถูพื้นเพื่อทำความสะอาด) |
Oven cleaner gel | /ˈʌvn ˈkliːnə ʤɛl/ | น้ำยาทำความสะอาดเตาอบ | I applied oven cleaner gel to remove grease. (ฉันใช้น้ำยาทำความสะอาดเตาอบเพื่อขจัดคราบไขมัน) |
Rubber gloves | /ˈrʌbə glʌvz/ | ถุงมือยาง | Wear rubber gloves when cleaning with chemicals. (สวมถุงมือยางเมื่อทำความสะอาดด้วยสารเคมี) |
Scrubbing brush | /ˈskrʌbɪŋ brʌʃ/ | แปรงขัด | Use a scrubbing brush to clean the bathroom tiles. (ใช้แปรงขัดทำความสะอาดกระเบื้องห้องน้ำ) |
Sponge | /spʌnʤ/ | ฟองน้ำ | I used a sponge to wash the dishes. (ฉันใช้ฟองน้ำล้างจาน) |
Spray bottle | /spreɪ ˈbɒtl/ | ขวดสเปรย์ | I keep water in a spray bottle for my plants. (ฉันเก็บน้ำไว้ในขวดสเปรย์สำหรับรดต้นไม้ของฉัน) |
Squeegee mop | /ˈskwiːʤiː mɒp/ | ไม้ถูพื้น | The squeegee mop is great for cleaning windows. (ไม้ถูพื้นแบบมีไม้รีดน้ำเหมาะสำหรับทำความสะอาดหน้าต่าง) |
Toilet duck | /ˈtɔɪlɪt dʌk/ | น้ำยาล้างชักโครก | I use a Toilet Duck to clean the toilet bowl. (ฉันใช้น้ำยาล้างชักโครกเพื่อทำความสะอาดโถส้วม) |
Trash bag | /træʃ bæg/ | ถุงขยะ | Please take out the trash bag when it’s full. (กรุณาเอาถุงขยะออกเมื่อถุงเต็ม) |
Trash can | /træʃ kæn/ | ถังขยะ | Throw your waste in the trash can. (ทิ้งขยะของคุณลงในถังขยะ) |
Vacuum cleaner | /ˈvækjʊəm ˈkliːnə/ | เครื่องดูดฝุ่น | I use a vacuum cleaner to clean the carpets. (ฉันใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดพรม) |
Washing machine | /ˈwɒʃɪŋ məˈʃiːn/ | เครื่องซักผ้า | The washing machine is broken, so I have to wash by hand. (เครื่องซักผ้าพังเลยต้องซักมือ) |
Window cleaner | /ˈwɪndəʊ ˈkliːnə/ | น้ำยาเช็ดกระจก | I bought some window cleaner for sparkling clean windows. (ฉันซื้อน้ำยาทำความสะอาดกระจกมาเพื่อทำความสะอาดกระจกให้สะอาดเป็นประกาย) |
ความแตกต่างระหว่าง Housework และ Homework

Housework | Homework | |
คำจำกัดความ | เป็นงานบ้าน รวมถึงการทำความสะอาด ทำอาหาร ซักผ้า และดูแลครอบครัว | คือการบ้าน รวมถึงงานวิชาการที่นักเรียนต้องทำที่บ้านหลังเลิกเรียน |
ตัวอย่าง | She spends a lot of time every day doing housework. (เธอใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการทำงานบ้าน) | I have to complete a lot of homework before going to bed. (ฉันต้องทำการบ้านเยอะมากก่อนเข้านอน) |
โครงสร้างการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเกี่ยวกับงานบ้าน

หากต้องการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับงานบ้านเป็นภาษาอังกฤษ คุณสามารถอ้างอิงโครงสร้างพื้นฐานผ่าน 3 ส่วนดังนี้:
ส่วนนำ: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงานบ้าน
คุณสามารถถามแนวคิดบางอย่าง เช่น คุณต้องทำงานบ้านบ่อยไหม? คุณคิด/รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับงานบ้าน?
ส่วนเนื้อหา: เล่าเรื่องงานบ้านของคุณ
- งานบ้านทั่วไป
- งานบ้านที่คุณต้องทำ
- ประโยชน์ของงานบ้าน
- ตารางการทำงานบ้านของคุณ/ครอบครัวของคุณโดยทั่วไป
- ความรู้สึก/ความสนใจในการทำงานบ้านของคุณ
ส่วนสรุป: สรุปแนวคิดหลักและระบุความคิด/ความรู้สึกของคุณ
ย่อหน้าตัวอย่าง:
Many people don’t want to do the housework. However, I enjoy doing household chores a lot because of the benefits they bring about. Firstly, living in a clean and airy house is much better than in a messy one. It also helps you to become healthier. Therefore, tidying up the house frequently is important. Secondly, I always love home-cooked meals. The ingredients are fresh and safe. As a result, I often shop for groceries and do the cooking by myself. Last but not least, doing chores helps me to reduce stress after work. Whenever I have a problem with difficult problems, I will spend time doing housework to relax. In my opinion, doing household chores can bring more advantages than you think.
ความหมาย:
หลายๆ คนไม่อยากทำงานบ้าน แต่ฉันชอบทำงานบ้านมากเพราะได้ประโยชน์จากงานบ้าน ประการแรก การได้อาศัยอยู่ในบ้านที่สะอาดและโปร่งสบายนั้นดีกว่าบ้านที่รกและยังช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย ดังนั้น การทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ประการที่สอง ฉันชอบทานอาหารที่ทำเองที่บ้าน วัตถุดิบสดใหม่และปลอดภัย ดังนั้นฉันจึงมักไปซื้อของชำและทำอาหารเอง และสุดท้าย งานบ้านช่วยลดความเครียดหลังเลิกงานได้ เมื่อฉันประสบปัญหาที่ยากลำบาก ฉันจะใช้เวลาไปกับการทำงานบ้านเพื่อผ่อนคลาย ในความคิดของฉัน งานบ้านมีข้อดีมากกว่าที่คุณคิด
>>> Read more: การเขียน essay ภาษาอังกฤษ: 5 หัวข้อพร้อมตัวอย่างการเขียน essay และคำแปล

คำถามที่พบบ่อย
ฉันช่วยแม่ทํางานบ้าน ภาษาอังกฤษ เขียนประโยคใหม่เป็นอย่างไร
ประโยค ช่วยแม่ทำงานบ้าน เขียนใหม่เป็นภาษาอังกฤษว่า I help my mother do the housework/ household chores.
ช่วยแม่ทํางานบ้าน ภาษาอังกฤษ เขียนประโยคเป็นอย่างไร
ประโยค ช่วยแม่ทำงานบ้าน ในภาษาอังกฤษ คือ Helping my mom do the housework/ household chores.
คําศัพท์ทํางานบ้าน คือ?
งานบ้านในภาษาอังกฤษสามารถใช้คำว่า Housework หรือ Household Chores
Housework มีอะไรบ้าง?
Housework หมายถึงงานบ้าน โดยเฉพาะงานที่คุณทำเพื่อทำให้บ้านสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น
Do Homework คือ?
Do housework เป็นการพูดทั่วไปสำหรับกิจกรรมการทำงานบ้าน คุณสามารถใช้ Do household chores เพื่อแทนที่วลีข้างต้นในประโยค
บทความข้างต้นได้แชร์ความรัูที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการ ทำงานบ้าน ภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยให้คุณพัฒนาคำศัพท์ เปลี่ยนงานประจำวันของคุณให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ELSA Speak หวังว่าคุณจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนเพื่อให้คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น!
ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การแสดงความเคารพและความเป็นมืออาชีพถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเราต้องขออภัยในความไม่สะดวก วิธีกล่าวคําว่า ขขออภัยในความไม่สะดวก ภาษาอังกฤษ ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าหรือคู่ค้า แต่ยังแสดงถึงความเอาใจใส่และความรับผิดชอบของคุณอีกด้วย บทความนี้ของ ELSA Speak จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีใช้คําขอโทษในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
ขออภัยในความไม่สะดวก ภาษาอังกฤษหมายถึงอะไร? ใช้เมื่อไหร่?
ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ประโยคขออภัยในความไม่สะดวกมักใช้เพื่อแสดงความเคารพและความเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการขอโทษลูกค้า คู่ค้า หรือผู้อื่นสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
คำขอโทษเหล่านี้มักจะปรากฏในอีเมล การสนทนาโดยตรง หรือประกาศอย่างเป็นทางการจากบริษัท เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและรักษาความพึงพอใจของบุคคลอื่น การเลือกคำขอโทษที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณถ่ายทอดข้อความของคุณได้อย่างจริงใจและน่าพึงพอใจ ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพด้วย

วิธีขออภัยในความไม่สะดวกในภาษาอังกฤษอย่างสุภาพ
การใช้ประโยคที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณถ่ายทอดความคิดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้อื่นอีกด้วย ต่อไปนี้เป็นวิธีขออภัยในความไม่สะดวกอย่างสุภาพในภาษาอังกฤษ พร้อมความหมายและตัวอย่าง
วิธีขออภัย | ความหมาย | ตัวอย่าง |
Excuse me. | ขอโทษ | Excuse me, can I pass? (ขอโทษนะคะ/ครับ ฉันขอเดินผ่านหน่อยนะคะ/ครับ) |
Pardon me. | ขอโทษ (สุภาพกว่า). | Pardon me, may I ask a question? (ขอโทษค่ะ/ครับ ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะ/ครับ) |
I apologize. | ขอโทษ | I apologize for the mistake. (ฉันขอโทษสําหรับความผิดพลาด) |
I’m terribly sorry. | ฉันขอโทษจริง ๆ | I’m terribly sorry for being late. (ฉันขอโทษจริง ๆ ที่มาช้า) |
I owe you an apology. | ฉันต้องขอโทษ | I owe you an apology for my behavior. (ฉันต้องขอโทษคุณสำหรับพฤติกรรมของฉัน) |

วิธีขออภัยในความไม่สะดวกในภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ
การกล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการไม่เพียงแสดงความเคารพต่อผู้ฟังเท่านั้น แต่ยังช่วยบรรเทาสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอีกด้วย ในส่วนนี้ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับประโยคขอโทษอย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษ พร้อมด้วยความหมายและตัวอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้คุณนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีพูด | ความหมาย | ตัวอย่าง |
I sincerely apologize for [any inconvenience I may have caused / my mistake]. | ฉันขออภัยอย่างจริงใจสำหรับ [ความไม่สะดวกใด ๆ ที่ฉันอาจก่อให้เกิดขึ้น / ความผิดพลาดของฉัน] | I sincerely apologize for any inconvenience I may have caused. (ฉันขออภัยอย่างจริงใจสำหรับความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้น) |
Please accept my sincere apologies. | โปรดรับคำขอโทษจากใจจริงของฉัน | I regret any inconvenience my absence may have caused; please accept my sincere apologies for not being there. (ฉันขอแสดงความเสียใจต่อความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ฉันขาดหายไป และโปรดรับคำขอโทษจากใจจริงของฉันที่ฉันไม่สามารถมาได้) |
I would like to extend my deepest apologies to…for… | ฉันอยากจะขออภัยอย่างสุดซึ้งต่อ…สำหรับ… | I would like to extend my deepest apologies to Jom for my mistake. (ฉันอยากจะขออภัยจอมอย่างสุดซึ้งสำหรับความผิดพลาดของฉัน) |
Please allow me to express my sincerest apologies for… | โปรดอนุญาตให้ฉันได้กล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจสำหรับ | Please allow me to express my sincerest apologies for the oversight. (โปรดอนุญาตให้ฉันได้กล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจสำหรับความผิดพลาดครั้งนี้) |
I offer my earnest regret for the inconvenience caused. | ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น | I offer my earnest regret for the inconvenience caused by the delay in our response to your inquiry. (ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดจากความล่าช้าในการตอบคำถามของคุณ) |

วิธีขออภัยในความไม่สะดวกในภาษาอังกฤษอย่างเป็นมิตร
ในการสื่อสารในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เป็นมิตร การกล่าวขอโทษอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าถึงได้สามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์และลดความตึงเครียดได้ การขอโทษอย่างเป็นมิตรไม่เพียงแต่แสดงความจริงใจเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรยากาศที่สบายใจสำหรับทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
วิธีพูด | ควาหมาย | ตัวอย่าง |
Sorry. | ขอโทษนะ | Sorry. (ขอโทษนะ) |
My bad / My fault. | ฉันผิดแล้ว | My bad, I should have checked first. (ฉันผิดไปแล้ว ฉันควรตรวจสอบก่อน) |
Sorry about that. | ขอโทษสําหรับเรื่องนั้น | I accidentally deleted the file; I’m really sorry about that. (ฉันเผลอลบไฟล์โดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษสําหรับเรื่องนั้นนะ) |
I was wrong on that. | ฉันผิดเอง | After reviewing the facts, I realized I was wrong on that point and I appreciate your patience. (หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ฉันรู้ว่าฉันผิดในประเด็นนั้นแล้ว และฉันขอขอบคุณสำหรับความอดทนของคุณ) |
Whoops, I didn’t mean to. | โอ้ย ฉันไม่ได้ตั้งใจ | Whoops, I didn’t mean to spill the drink. (โอ้ย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทําเครื่องดื่มหก) |

ความแตกต่างระหว่าง Sorry for any inconvenience กับ Apologies for any inconvenience
ในภาษาอังกฤษ ทั้งสองประโยค Sorry for any inconvenience และ Apologies for any inconvenience ล้วนแต่ใช้เพื่อกล่าวขอโทษ แต่จะสื่อถึงความแตกต่างในความเป็นทางการและทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน
การเลือกใช้คำขึ้นอยู่กับบริบทและระดับความเป็นทางการ ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างสองประโยคนี้ตามเกณฑ์ดังนี้: ระดับความเป็นทางการ บริบท อารมณ์ที่อยากถ่ายทอด และตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจง
เกณฑ์ | Sorry for any inconvenience | Apologies for any inconvenience |
ระดับทางการ | มักจะไม่เป็นทางการ มักใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวันหรือใช้เมื่อพูดคุยกับคนรู้จัก | เป็นทางการกว่า มักใช้ในเอกสารราชการหรือการสื่อสารอย่างมืออาชีพ |
บริบท | เหมาะสําหรับเวลาคุณต้องการขอโทษด้วยวิธีที่อ่อนโยนและเป็นมิตร เช่น เมื่อพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีความเป็นทางการอะไรมากมาย | มักใช้ในประกาศของบริษัท อีเมลอย่างเป็นทางการ หรือเมื่อคุณต้องการแสดงความเคารพสูงสุดต่ออีกฝ่าย |
อารมณ์ที่อยากถ่ายทอด | ใกล้ชิด อ่อนโยน ไม่จริงจังจนเกินไป | แสดงความเคารพ ความเป็นมืออาชีพ และทัศนคติที่เป็นทางการมากกว่า |
ตัวอย่าง | Sorry for any inconvenience, but the store will close early today due to maintenance. (ขออภัยในความไม่สะดวก แต่วันนี้ร้านจะปิดเร็วเพื่อปรับปรุง) | Apologies for any inconvenience caused by the delay. We are working to resolve the issue as quickly as possible.(ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นจากความล่าช้า เรากำลังพยายามแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด) |

วิธีขออภัยในความไม่สะดวกใหม่ล่าสุด
นอกจากประโยคยอดนิยมข้างต้นแล้ว ด้านล่างนี้ยังมีประโยคใหม่ ๆ ที่คุ้นเคย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเห็นอกเห็นใจและบรรเทาอารมณ์ของผู้ฟัง
วิธีพูด | ความหมาย | ตัวอย่าง |
I know I messed up. | ฉันรู้ว่าฉันทำผิดไปแล้ว | I know I messed up. I’ll make sure it won’t happen again. (ฉันรู้ว่าฉันทำผิดไปแล้ว ฉันจะไม่ทําให้มันเกิดขึ้นอีกแน่นอน) |
I never meant to hurt you. | ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ | I never meant to hurt you. I’m truly sorry for how things turned out. (ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ ฉันขอโทษจริง ๆ สําหรับสิ่งที่เกิดขึ้น) |
I understand if you’re upset with me. | ฉันเข้าใจถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจกับฉัน | I understand if you’re upset with me, and I’ll give you some space if you need it. (ฉันเข้าใจถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจกับฉัน และฉันจะเว้นระยะห่างให้คุณถ้าคุณต้องการ) |
I’ll do whatever it takes to make things right. | ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น | I’ll do whatever it takes to make things right. Please let me know what I can do to help. (ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น โปรดบอกให้ฉันรู้ว่าฉันสามารถช่วยอะไรได้บ้าง) |
I’ll make sure to learn from this experience and grow. | ฉันจะเรียนรู้จากประสบการณ์นี้และเติบโตขึ้น | I’ll make sure to learn from this experience and grow so it doesn’t happen again. (ฉันจะเรียนรู้จากประสบการณ์นี้และเติบโตอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีก) |
It won’t happen again. | มันจะไม่เกิดขึ้นอีก | It won’t happen again. I’ve put measures in place to prevent this. (มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ฉันได้วางมาตรการเพื่อป้องกันสิ่งนี้แล้ว) |
Please give me a chance to make it right. | ขอโอกาสให้ฉันได้แก้ไขในสิ่งที่ฉันทำพลาดไปด้วยนะ | Please give me a chance to make it right. I value your trust and want to earn it back. (ขอโอกาสให้ฉันได้แก้ไขในสิ่งที่ฉันทำพลาดไปด้วยนะ ฉันให้คุณค่ากับความเชื่อถือของคุณและอยากได้มันกลับคืนมา) |
I understand your frustration. | ฉันเข้าใจความหงุดหงิดของคุณ | I understand your frustration, and I’m here to make things better for you. (ฉันเข้าใจความหงุดหงิดของคุณ และฉันมาที่นี่เพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้นสำหรับคุณ) |
I realize this is disappointing. | ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันน่าผิดหวัง | I realize this is disappointing, and I apologize for falling short of expectations. (ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันน่าผิดหวัง และฉันขอโทษที่ทำผลงานได้ไม่ถึงความคาดหวังของคุณ) |
Thanks for your patience. | ขอบคุณสำหรับความอดทนของคุณ | Thanks for your patience while we work to resolve this issue. (ขอบคุณสำหรับความอดทนของคุณในขณะที่เราดำเนินการแก้ไขปัญหานี้) |
Let me help. | ให้ฉันช่วยคุณ | Let me help resolve this for you as quickly as possible. (ให้ฉันช่วยแก้ไขปัญหานี้ให้คุณโดยเร็วที่สุดเถอะนะ) |

การรู้วิธีกล่าวคำว่า ขออภัยในความไม่สะดวก ภาษาอังกฤษ ถือเป็นทักษะสำคัญในการสื่อสารอย่างมืออาชีพ ประโยคที่เรานำเสนอไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากได้อย่างมีไหวพริบเท่านั้น แต่ยังสร้างความไว้วางใจและความพึงพอใจจากผู้ฟังอีกด้วย อย่าลืมใช้ความรู้เหล่านี้ที่ ELSA Speak นํามาผากเพื่อเป็นนักสื่อสารที่มีความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกสถานการณ์นะ
การทำความเข้าใจและการใช้คำศัพท์ งานศพ ภาษาอังกฤษ ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเข้าร่วมพิธีในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษหรือสื่อสารในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ ในบทความนี้ ELSA Speak จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับคำศัพท์ วลี และสำนวนทั่วไปที่จำเป็นในการแสดงความเคารพและความเสียใจในงานศพ
งานศพ ภาษาอังกฤษ คืออะไร?
งานศพในภาษาอังกฤษมักเรียกว่า “funeral” นี่เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกพิธีกรรมอำลาผู้เสียชีวิต รวมถึงกิจกรรมต่างๆ เช่น การสวดภาวนา การสวดมนต์ และการรำลึกถึง
งานศพมักจัดขึ้นที่โบสถ์ ศาลา หรือที่บ้านส่วนตัว ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและศาสนาของผู้เสียชีวิต งานศพไม่เพียงแต่เป็นโอกาสในการแสดงความเสียใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความเคารพ ความกตัญญู และคำอธิษฐานเพื่อดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตอีกด้วย
นอกจากคำ funeral ยังมีคำศัพท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานศพ ได้แก่
- Funeral ceremony: พิธีฌาปนกิจ
- Memorial service: พิธีไว้อาลัย
- Burial: การฝังศพ
- Cremation: การเผาศพ
ในภาษาอังกฤษ คำเหล่านี้ใช้ขึ้นอยู่กับรูปแบบและความเชื่อของแต่ละครอบครัวและชุมชน

คำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษสำหรับการจัดงานศพ
คำศัพท์เกี่ยวกับคนเสียชีวิตและงานศพ
การทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าร่วมหรืออธิบายกระบวนการงานศพเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
คำศัพท์ | คำอ่าน | ความหมาย | ตัวอย่าง (ความหมาย) |
Funeral | /ˈfjuː.nər.əl/ | งานศพ | They held a funeral for her last week. (พวกเขาจัดงานศพให้เธอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) |
Die | /daɪ/ | เสียชีวิต | He died peacefully at home. (เขาเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้าน) |
Death | /deθ/ | ความตาย | We all must face death someday. (สักวันหนึ่งเราทุกคนต้องเผชิญกับความตาย) |
Kill | /kɪl/ | เสียชีวิต | He was killed in an accident. (เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ) |
Corpse | /kɔːrps/ | ซากศพ | The corpse was found in the river. (พบซากศพลอยอยู่ในแม่น้ำ) |
Joss stick | /dʒɒs stɪk/ | ธูป | They lit joss sticks to honor the deceased. (พวกเขาจุดธูปเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต) |
Altar | /ˈɔːl.tər/ | แท่นบูชา | The altar was decorated with flowers. (แท่นบูชาตกแต่งด้วยดอกไม้) |
Wooden coffin | /ˈwʊd.ən ˈkɒf.ɪn/ | หีบศพ | A wooden coffin was used for the burial. (หีบศพถูกใช้เพื่อฝังศพ) |
Zinc coffin | /zɪŋk ˈkɒf.ɪn/ | โลงศพ | They opted for a zinc coffin. (พวกเขาเลือกโลงศพ) |
One minute silence | /wʌn ˈmɪnɪt ˈsaɪ.ləns/ | เงียบเป็นเวลา 1 นาที | The crowd observed a one-minute silence. (ทุกคนยืนสงบเป็นเวลา 1 นาที) |
Bury, inter | /ˈber.i/, /ɪnˈtɜːr/ | ฝังศพ | He was buried in the family cemetery. (เขาถูกฝังไว้ในสุสานของครอบครัว) |
Cemetery | /ˈsɛməˌtɛri/ | ป่าช้า | The cemetery is located on a hill. (ป่าช้าตั้งอยู่บนเนินเขา) |
Tomb | /tuːm/ | สุสาน | The tomb was very old. (สุสานนั้นเก่าแก่มากแล้ว) |
Funeral ceremony | /ˈfjuː.nər.əl ˈser.ə.mə.ni/ | พิธีฌาปนกิจ | The funeral ceremony will be held tomorrow. (พิธีฌาปนกิจจะจัดขึ้นพรุ่งนี้) |
Funeral monument | /ˈfjuː.nər.əl ˈmɒn.jʊ.mənt/ | อนุสาวรีย์งานศพ | A funeral monument was erected for the war heroes. (มีการสร้างอนุสาวรีย์ศพไว้อาลัยแด่วีรบุรุษสงคราม) |
Headstone | /ˈhed.stəʊn/ | ป้ายสุสาน | The headstone had his name engraved on it. (บนป้ายสุสานมีการจารึกชื่อของเขาไว้) |
Incense bowl | /ˈɪn.sens boʊl/ | โถธูป | The incense bowl was placed on the altar. (มีโถธูปวางบนแท่นบูชา) |
Requiescat In Pace | /ˌrɛkwiˈɛskæt ɪn ˈpeɪsi/ | ขอให้ไปสู่สุขคติ | The phrase “Requiescat in Pace” was written on the gravestone. (มีประโยคว่า “Requiescat in Pace” เขียนอยู่บนป้ายหลุมศพ) |
Grave | /ɡreɪv/ | สุสาน | She visited his grave every week. (เธอไปเยี่ยมสุสานของเขาเป็นประจำทุกสัปดาห์) |
Hearse | /hɜːrs/ | รถบรรทุกศพ | The hearse arrived at the cemetery. (รถบรรทุกศพมาถึงป่าช้าแล้ว) |
Wreath | /riːθ/ | พวงหรีด | A wreath was laid on the grave. (มีการวางพวงหรีดบนสุสาน) |
Reincarnation | /ˌriː.ɪn.kɑːˈneɪ.ʃən/ | การกลับชาติมาเกิดใหม่ | They believe in reincarnation. (พวกเขาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่) |

คำศัพท์เกี่ยวกับกิจกรรมในงานศพ
คำศัพท์ | คำอ่าน | ความหมาย | ตัวอย่าง |
Eulogy | /ˈjuː.lə.dʒi/ | คำไว้อาลัย | She delivered a beautiful eulogy at her father’s funeral. (เธอกล่าวคำไว้อาลัยในงานศพของพ่อเธอ) |
Wake | /weɪk/ | การปลุกศพ | The wake will be held tomorrow evening at their family home. (การปลุกศพจะจัดขึ้นเย็นวันพรุ่งนี้ที่บ้านของครอบครัว) |
Burial | /ˈber.i.əl/ | การฝังศพ | The burial took place at the family cemetery on Sunday. (การฝังศพเกิดขึ้นในสุสานของครอบครัวเมื่อวันอาทิตย์) |
Cremation | krɪˈmeɪ.ʃən/ | การเผาศพ | They opted for cremation instead of a traditional burial. (พวกเขาเลือกการเผาศพแทนการฝังศพแบบดั้งเดิม) |
การทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าร่วมหรืออธิบายกระบวนการงานศพเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง

วลีแสดงความเสียใจ
วลี | คำอ่าน | ความหมาย | ตัวอย่าง |
Condolence | /kənˈdoʊ.ləns/ | การแสดงความเสียใจ | She sent her condolences to the family after hearing the sad news. (เธอแสดงความเสียใจกับครอบครัวหลังจากทราบข่าวเศร้า) |
Sympathy | /ˈsɪm.pə.θi/ | ความเห็นอกเห็นใจ | We offer our deepest sympathy to the bereaved family during this difficult time. (เราขอแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสียในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ |
My deepest condolences | /maɪ ˈdiː.pəst kənˈdoʊ.ləns/ | การแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง | My deepest condolences for your loss. You are in my thoughts. (ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียของคุณ คิดถึงคุณเสมอ) |
I’m sorry for your loss | /aɪm ˈsɔːr.i fɔːr jʊr lɔːs/ | ฉันเสียใจมากสำหรับการสูญเสียของคุณ | I’m so sorry for your loss. Please let me know if you need anything. (ฉันเสียใจมากสำหรับการสูญเสียของคุณ โปรดแจ้งให้ฉันทราบหากคุณต้องการอะไร) |
วลีเหล่านี้ช่วยให้คุณแสดงความเสียใจและความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจและละเอียดอ่อน

>>> Read more: 100+ ประโยคขอแสดงความเสียใจ ภาษาอังกฤษ ที่มีความหมายและจริงใจที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
Cremation ceremony แปลว่า อะไร?
Cremation ceremony เป็นพิธีเผาศพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานศพโดยนำศพเข้าสู่กระบวนการเผาศพ ซึ่งเป็นเวลาที่ครอบครัว เพื่อนฝูง และคนที่รักได้รำลึกและร่ำลาผู้เสียชีวิต ในหลายวัฒนธรรม พิธีกรรมนี้มีความหมายในการปลดปล่อยดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต ช่วยให้พวกเขาออกจากโลกมนุษย์เพื่อเข้าสู่นิรันดร
Funeral ceremony แปลว่า อะไร?
Funeral ceremony เป็นงานศพหรือพิธีฝังศพ จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต นี่เป็นเวลาที่ทุกคนจะแสดงความเคารพและแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและเพื่อนฝูงของผู้เสียชีวิต งานศพอาจรวมถึงการสวดมนต์ พิธีศพ หรือการเผาศพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ

Floating Mars Ceremon ภาษาอังกฤษคืออะไร?
Floating Mars Ceremony หรือที่เรียกว่าพิธีลอยอังคารในแม่น้ำ เป็นพิธีกรรมในบางวัฒนธรรมเพื่อสวดภาวนาเพื่อดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต พิธีนี้จัดขึ้นโดยการลอยโคม เทียน หรือดอกไม้บนผืนน้ำ ทำให้เกิดเป็นฉากที่แวววาวและสื่อถึงการรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
พิธีเผา ภาษาอังกฤษ คืออะไร?
พิธีเผาศพ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า cremation ceremony นี่เป็นพิธีอย่างเป็นทางการซึ่งจะมีการเผาศพแทนการฝัง พิธีนี้มักจะมาพร้อมกับการสวดภาวนาและพิธีกรรมรำลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งซึ่งเป็นที่นิยมในศาสนาต่างๆ เช่น พุทธศาสนา ศาสนาฮินดู และประเพณีบางอย่างในประเทศตะวันตก
ความแตกต่างระหว่าง funeral, ceremony for the dead, burial และ cremation
ในภาษาอังกฤษ คำศัพท์ต่างๆ เช่น funeral, ceremony for the dead, burial และ cremation ล้วนเกี่ยวข้องกับพิธีการสำหรับผู้เสียชีวิต แต่มีความหมายและขอบเขตที่แตกต่างกัน
- Funeral: เป็นคำทั่วไปสำหรับงานศพที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
- Ceremony for the dead: มักมีความหมายกว้างกว่า รวมถึงพิธีกรรมทุกประเภทเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการฝังศพ หรือเผาศพ
- Burial: เป็นพิธีกรรมฝังศพผู้เสียชีวิตลงดิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหลายศาสนาและวัฒนธรรมทั่วโลก
- Cremation: เป็นพิธีเผาศพที่มีการเผาศพและอาจเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาหรือจิตวิญญาณ
เจ้าภาพงานสวดอภิธรรม ภาษาอังกฤษ
เจ้าภาพงานสวดอภิธรรมในพิธีสวดอภิธรรม มักเรียกว่า Buddhist monk หรือ Abhidhamma master (พระอาจารย์อภิธรรมสวดมนต์) บุคคลนี้จะเป็นผู้นำในพิธี สวดมนต์ และอธิษฐานเพื่อช่วยให้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตได้รับการปลดปล่อยและพักผ่อน
งานสวดอภิธรรม ภาษาอังกฤษ
งานสวดอภิธรรม ภาษาอังกฤษ สามารถเรียกว่า Abhidhamma prayers หรือ chanting of Abhidhamma texts นี่เป็นพระสูตรและบทสวดจากพระอภิธรรมที่พระภิกษุหรือสมาชิกในครอบครัวท่องด้วยความปรารถนาที่จะนำความสงบสุขและการปลดปล่อยมาสู่ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต
การทำความเข้าใจคำศัพท์และสำนวน งานศพ ภาษาอังกฤษ ถือเป็นทักษะที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปร่วมงานศพในต่างประเทศ การใช้คำพูดที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณแสดงความเคารพและความเห็นอกเห็นใจในลักษณะที่ละเอียดอ่อน ต้องแน่ใจว่าคุณเตรียมตัวมาอย่างดีก่อนเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้เพื่อแสดงความเสียใจอย่างเหมาะสมและด้วยความเคารพ