คุณกำลังสับสนว่า TGAT คืออะไร สอบอะไรบ้าง คล้ายกับข้อสอบ GAT ปีที่แล้วหรือไม่? วันนี้ Elsa Speak จะมาตอบทุกข้อสงสัยของคุณในบทความนี้ ใครที่อ่านบทความนี้จะได้รับคำแนะนำในการเตรียมตัวสำหรับการสอบ TGAT ที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน
ข้อสอบ TGAT คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง
TGAT คือการทดสอบความสามารถทั่วไปของคนไทย (Thai General Aptitude Test) ข้อสอบนี้ประกอบด้วย 3 ส่วน: TGAT 1 การสื่อสารภาษาอังกฤษ TGAT 2 การคิดเชิงตรรกะ และ TGAT 3 ความสามารถในการทำงาน TGAT เป็นข้อสอบที่สามารถใช้ในการสมัครเข้าคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้หลายแห่ง รายละเอียดของแต่ละส่วนมีดังนี้:
สอบก่อนเข้าฟรี


TGAT 1
การสื่อสารภาษาอังกฤษ
- ทักษะการพูด
- ทักษะการอ่าน
TGAT 2
การคิดเชิงตรรกะ
- ความสามารถด้านภาษา
- ทักษะด้านการคิดคำนวณ
- ทักษะการคิดเชิงพื้นที่
- ความสามารถในการใช้เหตุผล
TGAT 3
ความสามารถในการทำงาน
- การสร้างคุณค่าและนวัตกรรม
- การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
- การจัดการอารมณ์
- การเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น
ทั้ง 3 ส่วนนี้จะมีการประกาศคะแนนแยกกัน แต่ละวิชามีคะแนนเต็ม 100 คะแนน การใช้คะแนน TGAT ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ TCAS โดยรอบการสมัครจะขึ้นอยู่กับเกณฑ์การรับเข้าเรียนของแต่ละมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสามารถเลือกใช้คะแนน TGAT บางส่วน หรือคะแนน TGAT ทั้งหมดในกระบวนการคัดเลือก
TGAT มีอะไรบ้าง

>>> Read more: 14 วิธีจําคําศัพท์ภาษาอังกฤษได้เร็ว ได้นาน และมีประสิทธิภาพ
ข้อสอบ TGAT มีทั้งหมด 3 ส่วน ผู้สมัครสามารถเลือกลำดับการสอบได้ตามต้องการ รวมถึงเลือกทำหรือไม่ทำบางส่วนได้ ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดการรับสมัครของแต่ละคณะในมหาวิทยาลัย (อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ทำทุกส่วนเพื่อเพิ่มโอกาสในการสมัคร!)
TGAT 1 การสื่อสารภาษาอังกฤษ
ข้อสอบ TGAT 1 เป็นการทดสอบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ข้อสอบนี้เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ไม่มีส่วนการพูด และสามารถเลือกทำได้โดยใช้กระดาษหรือคอมพิวเตอร์
เวลาทำข้อสอบ: 60 นาที 60 ข้อ คะแนนรวม 100 คะแนน
ทักษะการพูด (Speaking Skills) – 30 ข้อ 50 คะแนน
ส่วนนี้จะแบ่งเป็นคำถามหลัก 3 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีคำถาม 10 ข้อ
- คำถาม-คำตอบ (Question-Response): 10 ข้อ
- สร้างบทสนทนาแบบสั้นให้สมบูรณ์ (Complete Short Conversations): ประกอบด้วยบทสนทนา 3 บท บทละ 3-4 ข้อ รวมทั้งหมด 10 ข้อ
- สร้างบทสนทนาแบบยาวให้สมบูรณ์: ประกอบด้วยบทสนทนา 2 บท บทละ 5 ข้อ รวมทั้งหมด 10 ข้อ
ทักษะการอ่าน (Reading Skills) – 30 ข้อ 50 คะแนน
- การเติมข้อความให้สมบูรณ์ (Text Completion): 15 ข้อ
- การอ่านจับใจความ (Reading Comprehension): 15 ข้อ
TGAT 2 การคิดเชิงตรรกะ
TGAT 2 ทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์และการใช้เหตุผล ข้อสอบประกอบด้วยคำถามแบบเลือกตอบ 80 ข้อ โดยมีตัวเลือก 5 ตัวเลือก เวลาทำข้อสอบ 60 นาที คะแนนรวม 100 คะแนน เนื้อหาข้อสอบมีหลายระดับตั้งแต่ง่ายไปจนถึงยาก โดยผู้เข้าสอบจะต้องมีการคิดเชิงตรรกะ ความสามารถในการคำนวณและประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
- ความสามารถด้านภาษา (ภาษาไทย) : ประเมินทักษะการใช้เหตุผลทางภาษา คล้ายกับการทดสอบวรรณคดีหรือภาษาไทยระดับ A
- ความสามารถในการคำนวณ (คณิตศาสตร์) เน้นการคิดเชิงตรรกะ การคำนวณที่รวดเร็วและแม่นยำ
- ทักษะการคิดเชิงพื้นที่ (คณิตศาสตร์) : ทดสอบความสามารถในการจดจำและความคิดเกี่ยวกับเรขาคณิตและพื้นที่สามมิติ
- ความสามารถในการใช้เหตุผล (การผสมผสานภาษาไทย + คณิตศาสตร์) : รวมถึงลำดับภาพ การวิเคราะห์ข้อมูล การเปรียบเทียบ และการสังเคราะห์ข้อมูล
TGAT 3 ความสามารถในการทำงาน
ข้อสอบ TGAT 3 จะประเมินทัศนคติและความคิดในการทำงาน ช่วยประเมินความสามารถของผู้สมัครในสภาพแวดล้อมการทำงานในอนาคต ข้อสอบนี้เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยมีคำถาม 2 ประเภทหลักๆ คือ คำถามตัวเลือกเดียวและคำถามมีหลายตัวเลือก คำตอบแต่ละข้อมีคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 1 คะแนน โดยบางคำตอบอาจได้รับคะแนน 0.25 หรือ 0.50 คะแนน
เวลาทำข้อสอบ 60 นาที 60 ข้อ รวม 100 คะแนน ข้อสอบแบ่งเป็น 4 ส่วน โดยแต่ละส่วนมีคำถามทั้งหมด 15 ข้อ:
การสร้างคุณค่าและนวัตกรรม (Value Creation and Innovation)
- การคิดวิเคราะห์
- การแก้ไขปัญหาอย่างมืออาชีพ
- การคิดสร้างสรรค์
การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน (Solving Complex Problems)
- ระบุปัญหา
- สร้างและเลือกวิธีแก้
- แก้ไขปัญหา
- ประเมินและปรับปรุงวิธีแก้
การจัดการอารมณ์ (Emotional Management)
- การตระหนักรู้ในตนเอง
- ควบคุมบุคลิกภาพและอารมณ์
- ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
กลายเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น (Being a Participatory Citizen of Society)
- ปฐมนิเทศการบริการชุมชน
- ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
- การสร้างประโยชน์แก่สังคมท้องถิ่น

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเข้าสอบ TGAT
TGAT เป็นข้อสอบที่สำคัญ โดยคะแนนสามารถนำไปใช้สมัครเข้า TCAS (ระบบรับสมัครเข้าศึกษาต่อ
มหาวิทยาลัยกลางของประเทศไทย) ได้หลายรอบ ช่วยให้คุณมีโอกาสเข้าศึกษาต่อมากขึ้น ต่อไปคือสิ่งที่คุณควรทราบเพื่อช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ดีขึ้นก่อนทำการทดสอบ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเข้าสอบ TGAT 1 (การสื่อสารภาษาอังกฤษ)
- คำศัพท์ในข้อสอบจะเน้นไปที่การใช้ในชีวิตประจำวัน
- ส่วนทักษะการพูด: ระวังกับการแสดงออกทางภาษาเพื่อเลือกคำตอบที่เหมาะสม
- ส่วนทักษะการอ่าน: ทดสอบทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์ ไม่ใช่แค่เพียงความเข้าใจในการอ่านเท่านั้น
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเข้าสอบ TGAT 2 (การคิดเชิงตรรกะ)
- คุณจะต้องทำข้อสอบให้เร็วเนื่องจากมีคำถามจำนวนมาก ถ้าเจอคำถามที่ยากให้ข้ามไปและทำข้ออื่นก่อน
- ส่วนความสามารถด้านภาษา : เนื้อหาจะคล้ายๆ วิชาภาษาไทยระดับ A
- ส่วนความสามารถในการคำนวณ: โจทก์คณิตศาสตร์เชิงคิดวิเคราะห์ต้องใช้ความเร็วสูง
- ส่วนทักษะการคิดเชิงพื้นที่: ต้องสังเกตและประมวลผลภาพเชิงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
- ส่วนความสามารถในการใช้เหตุผล: ประกอบด้วยลำดับภาพ การเปรียบเทียบ การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ สามารถได้คะแนนง่ายๆ หากฝึกฝนบ่อยๆ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเข้าสอบ TGAT 3 (ความสามารถในการทำงาน)
- ส่วนการสร้างคุณค่าและนวัตกรรม การจัดการอารมณ์ คำถามมักอยู่ในรูปแบบสถานการณ์ ซึ่งต้องฝึกฝนมากพอสมควรจึงจะคุ้นเคยกับวิธีตอบ
- ส่วนการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน: ระวังคำถามที่มีคำตอบที่เป็นไปได้หลายคำตอบ อ่านคำถามอย่างละเอียด
- ส่วนการเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น: เกี่ยวข้องกับความรู้ทางสังคม และข่าวปัจจุบัน ต้องอัปเดตข้อมูลเป็นประจำ
คำถามเกี่ยวกับข้อสอบ TGAT
TGAT มีกี่ข้อ?
ข้อสอบ TGAT มีจำนวนทั้งหมด 200 ข้อ แบ่งเป็น 2 ส่วน:
- TGAT 1 (การสื่อสารภาษาอังกฤษ): 60 ข้อ
- TGAT 2 (การคิดเชิงตรรกะ): 80 ข้อ
- TGAT 3 (ความสามารถในการทำงาน): 60 ข้อ
แต่ละส่วนมีเวลาจำกัด 60 นาที รวมเป็น 3 ชั่วโมงสำหรับการสอบทั้งหมด
TGAT และ TPAT คือ?

>>> Read more: TOEIC Score: วิธีคำนวณ แปลง และระดับคะแนนที่คุณควรต้องรู้
TGAT และ TPAT เป็นการสอบที่สำคัญในระบบการรับเข้ามหาวิทยาลัย TCAS ของประเทศไทย แต่มีจุดประสงค์และโครงสร้างที่แตกต่างกัน
เกณฑ์ | TGAT (Thai General Aptitude Test) | TPAT (Thai Professional Aptitude Test) |
---|---|---|
จุดประสงค์ | ประเมินความสามารถทั่วไปของผู้สมัคร ใช้ได้กับหลายสาขาวิชา | ทดสอบความรู้และทักษะ เฉพาะทางของแต่ละกลุ่มตามวิชา |
โครงสร้าง | ประกอบด้วย 3 ส่วน: TGAT 1: การสื่อสารภาษาอังกฤษ TGAT 2: การคิดเชิงตรรกะ TGAT 3: ความสามารถในการทำงาน | ประกอบด้วย 5 ข้อสอบสำหรับแต่ละกลุ่มตามวิชา: TPAT1: ความสามารถพิเศษในการสอน TPAT2: ศิลปะ การออกแบบ TPAT3: เทคนิค TPAT4: สถาปัตยกรรม TPAT5: แพทยศาสตร์ เภสัช การพยาบาล |
รูปแบบการสอบ | แบบเลือกตอบ (กระดาษหรือคอมพิวเตอร์) | ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทดสอบ อาจเป็นแบบเลือกตอบ แบบ เรียงความ หรือแบบปฏิบัติ |
คะแนนรวม | คะแนนแต่ละส่วน 100 คะแนน รวมเป็น 300 คะแนน | การสอบ TPAT แต่ละข้อจะมีเกณฑ์การให้คะแนนของตัวเองตามวิชา |
ใช้ยื่นอะไร | ใช้ในการเข้าศึกษาต่อใน วิชาต่างๆ มากมาย เนื่องจากเป็นการประเมินทักษะทั่วไป | เฉพาะสาขาวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับการสอบ TPAT เท่านั้น |
ควรสอบ TGAT หรือ TPAT?
- ถ้าหากคุณต้องการสมัครสาขาวิชาต่างๆ มากมาย ให้เลือกสอบ TGAT เนื่องจากสามารถสมัครได้กับคณะต่างๆ มากมาย
- หากคุณตัดสินใจที่จะศึกษาด้านเฉพาะทาง เช่น แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะ ฯลฯ คุณจะต้องทำข้อสอบ TPAT ที่เหมาะสมกับสาขานั้น
หมายเหตุ: มหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดให้ต้องสอบทั้ง TGAT และ TPAT ดังนั้นคุณควรตรวจสอบข้อกำหนดการรับเข้าเรียนสำหรับแต่ละหลักสูตรก่อนลงทะเบียน
TGAT และ GAT เหมือนกันหรือไม่?

TGAT และ GAT เป็นข้อสอบวัดความถนัดที่ใช้ในการเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทย แต่มีโครงสร้างและเนื้อหาของการทดสอบที่แตกต่างกันมาก
เกณฑ์ | TGAT (Thai General Aptitude Test) | GAT (General Aptitude Test) |
---|---|---|
จุดประสงค์ | การประเมินความสามารถทั่วไปเพื่อการเข้ามหาวิทยาลัยภายใต้ระบบ TCAS ใหม่ | ทดสอบความสามารถทางความคิดและภาษาในระบบการรับสมัครเดิม |
ใช้ยื่นอะไร | ใช้ได้กับระบบ TCAS ปัจจุบัน | เคยใช้ในระบบ TCAS ก่อนหน้านี้ |
โครงสร้างการสอบ | ประกอบด้วย 3 ส่วน: 1. TGAT 1 – การสื่อสารภาษาอังกฤษ (60 ข้อ) 2. TGAT 2 – การคิดเชิงตรรกะ (80 ข้อ) 3. TGAT 3 – ความสามารถใน การทำงาน (60 ข้อ) | ประกอบด้วย 2 ส่วน: 1. GAT เชื่อมโยง (การคิดแบบ เชื่อมโยง) – 50% 2. GAT ภาษาอังกฤษ (ภาษาอังกฤษ) – 50% |
จำนวนคำถาม | 200 ข้อ | ไม่แน่นอน (โดยทั่วไปประมาณ 90-100 ข้อ) |
คะแนนรวม | แต่ละส่วนมี 100 คะแนน รวม 300 คะแนน | คะแนนรวม 300 คะแนน แบ่งเป็นแต่ละส่วนเท่าๆ กัน ส่วนละ 150 คะแนน |
เวลาทำข้อสอบ | 3 ชั่วโมง (ส่วนละ 60 นาที) | 2,5 ชั่วโมง |
เนื้อหาข้อสอบ | เน้นการสื่อสารภาษาอังกฤษ การคิดเชิงตรรกะ และความสามารถในการทำงาน | ทดสอบความสามารในการคิดแบบเชื่อมโยงและภาษาอังกฤษเชิงวิชา |
รูปแบบการสอบ | แบบทดสอบตัวเลือก มี 4-5 ตัวเลือก | เลือกตอบและกรอกคำตอบอย่าง มีตรรกะ |
สรุป
- TGAT เข้ามาแทนที่ GAT ในระบบการรับสมัคร TCAS ในปัจจุบัน
- TGAT มีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยประเมินทักษะการสื่อสาร การคิดเชิงตรรกะ และความสามารถในการทำงาน ในขณะที่ GAT มุ่งเน้นเฉพาะการคิดเชิงเชื่อมโยงและภาษาอังกฤษเท่านั้น
- หากสมัครภายใต้ระบบ TCAS ใหม่ ผู้สมัครจะต้องสอบ TGAT แทน GAT
ฉันสามารถลงทะเบียน TGAT ได้ที่ไหน?
การลงทะเบียนสอบ TGAT ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงลงทะเบียนบัญชี MyTCAS ก่อน https://student.mytcas.com จากนั้นคุณสามารถเลือกการสอบ TGAT และวิชาที่คุณต้องการลงทะเบียนได้
จากนั้นพิมพ์ใบชำระเงินและชำระค่าธรรมเนียมการสอบผ่านช่องทางการชำระเงินที่คุณสะดวก รูปแบบการชำระเงินมี 2 รูปแบบ:
- ชำระเงินผ่าน QR Code ของทุกธนาคาร (ไม่มีค่าธรรมเนียม)
- ชำระเงินที่ Counter Service (7-Eleven) ทุกสาขา (ค่าธรรมเนียมรายการละ 10 บาท)
TGAT สอบวันไหน?
โดยปกติ TGAT จะเปิดรับสมัครในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี และเริ่มการทดสอบตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป
TGAT ความถนัดทั่วไป สอบอะไรบ้าง?
ในการสอบ TGAT (Thai General Aptitude Test) ความสามารถทั่วไปจะได้รับการประเมินคือทักษะการคิดและความสามารถในการแก้ปัญหาของผู้สมัครเป็นหลัก ความสามารถทั่วไปเหล่านี้รวมถึง:
- ความสามารถในการคิดเชิงตรรกะ: ประเมินความสามารถในการวิเคราะห์ การให้เหตุผล และการใช้ตรรกะในการแก้ไขปัญหา
- ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ: ทดสอบความสามารถในการวิเคราะห์ ประเมิน และตัดสินเกี่ยวกับข้อมูลหรือข้อโต้แย้ง
- การแก้ปัญหา: ประเมินความสามารถในการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน รวมถึงการใช้ความรู้และทักษะในการแก้ไขสถานการณ์ในชีวิตจริง
- ความคิดสร้างสรรค์: วัดความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือนำเสนอวิธีแก้ไขใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร
- ความสามารถในการทำงานภายใต้ความกดดัน: ประเมินความอดทนและความสามารถในการรักษาสมาธิเมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่กดดัน
ความสามารถเหล่านี้ช่วยให้ผู้สมัครแสดงความสามารถในการคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการเรียนรู้และการวิจัยในมหาวิทยาลัย

คุณสามารถส่งอะไรได้บ้างพร้อมคะแนน TGAT?
เมื่อส่งใบสมัครพร้อมคะแนน TGAT ผู้สมัครอาจจะต้องส่งเอกสารหรือข้อมูลต่อไปนี้ ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย เมื่อส่งใบสมัครพร้อมคะแนน TGAT ผู้สมัครอาจจะต้องส่งเอกสารหรือข้อมูลต่อไปนี้
ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยหรือรอบการรับสมัคร
- โปรไฟล์ส่วนตัว: รวมถึงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ วันเกิด ที่อยู่ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัคร
- ใบรับรองผลการเรียน GPAX: เกรดเฉลี่ยสะสมจากระดับการศึกษาก่อนหน้า (เช่น มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า)
- Portfolio (แฟ้มสะสมผลงาน): โดยเฉพาะในรอบ TGAT Profile ผู้สมัครจะต้องส่งพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งอาจรวมถึงโครงการ เรียงความ หรือความสำเร็จส่วนตัวอื่นๆ เพื่อแสดงถึงความสามารถและความสนใจของตนเอง
- คะแนนข้อสอบอื่น ๆ: ขึ้นอยู่กับรอบ มหาวิทยาลัยอาจกำหนดให้ผู้สมัครส่งคะแนนจากการสอบอื่น ๆ นอกเหนือจาก TGAT เช่น A-Level, CU-TEP, TU-GET หรือการสอบมัธยมศึกษาตอนปลายอื่น ๆ
- ใบรับรองและเอกสารอื่นๆ: อาจต้องใช้ใบรับรองภาษาต่างประเทศ (เช่น TOEFL, IELTS) ใบรับรองทักษะ หรือเอกสารอื่นๆ ที่พิสูจน์ความสามารถทางวิชาการและกิจกรรมนอกหลักสูตร
- จดหมายรับรอง: มหาวิทยาลัยบางแห่งหรือรอบการรับสมัครอาจต้องการจดหมายรับรองจากครู อาจารย์ หรือบุคคลอื่นที่เคยทำงานร่วมกับผู้สมัคร
- เรียงความ (Essay): มหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดให้ผู้สมัครเขียนเรียงความในหัวข้อเฉพาะเพื่อแสดงทักษะการเขียนและการคิดเชิงวิเคราะห์ของตน
ข้อกำหนดเฉพาะจะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัยและรอบการรับสมัคร ดังนั้น ผู้สมัครจะต้องอ่านคำแนะนำและข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างละเอียดเพื่อเตรียมใบสมัครให้ครบถ้วน
TGAT 1 2 3 คืออะไร?
TGAT 1 2 3 คือระดับการสอบในระบบ TGAT (Thai General Aptitude Test) จัดขึ้นเพื่อประเมินความสามารถของผู้สมัคร แต่ละระดับแสดงถึงความแตกต่างในระดับความยากและข้อกำหนดของข้อสอบ:
- TGAT 1: ระดับพื้นฐาน ทดสอบทักษะการคิดเชิงตรรกะ และความสามารถในการแก้ปัญหาง่ายๆ
- TGAT 2: ระดับกลาง ผู้สมัครต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น
- TGAT 3: ระดับสูง ประเมินการใช้เหตุผลที่ซับซ้อน การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ยาก
ผู้สมัครสามารถเลือกสอบแบบใดแบบหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยและคณะ
สอบ TGAT เสียค่าธรรมเนียมไหม?
ค่าธรรมเนียมสมัคร TGAT คือ 140 บาท
คะแนน TGAT ส่วนไหนที่นำมาใช้ในการสมัคร?
หลังจากที่มหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครโดยตรงในเดือนธันวาคมของทุกปี ผู้สมัครจะเข้าสอบ TGAT เพื่อใช้คะแนนในการรับสมัครรอบต่างๆ แต่ละรอบจะใช้อัตราส่วนคะแนน TGAT ที่แตกต่างกันดังนี้:
รอบการคัดเลือก TGAT
ในรอบนี้ผู้สมัครจะต้องมีคะแนน TGAT เพื่อยืนยันโปรไฟล์ของตน ในรอบนี้โอกาสที่จะถูกเลือกไม่แน่นอน คะแนน TGAT, GPAX และโปรไฟล์เป็นเกณฑ์หลักในการประเมินแต่ละบุคคล
รอบส่งคะแนนตาม Quota
ในรอบนี้ คะแนนของผู้สมัครจะถูกส่งตรงไปยังคณะ มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะมีเกณฑ์การรับเข้าเรียนของ
ตัวเอง อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจเลือกใช้คะแนนสอบของตนเอง เช่น CU-TEP และ TU-GET แทนการใช้คะแนน TGAT
รอบการยื่นคะแนนสอบเข้า
ในรอบนี้คะแนน TGAT จะถูกส่งพร้อมกับการสอบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอื่นๆ เช่น A-Level รอบนี้จะพิจารณาจากคะแนนรวมเป็นหลัก คะแนน TGAT สูงสุดอยู่ที่ 50% แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะด้วย
รอบรับสมัครพิเศษ (รับสมัครโดยตรง)
ในที่สุด ในรอบการรับสมัครโดยตรงหรือการรับสมัครแบบอิสระ มหาวิทยาลัยจะเปิดการรับสมัครและกำหนดเกณฑ์การรับสมัครอย่างอิสระเพื่อรับนักศึกษาที่พลาดโอกาสได้รับการรับเข้าเรียนผ่านรอบการคัดเลือก
ศูนย์ทดสอบ TGAT อยู่ที่ไหน?
หากคุณทำข้อสอบบนคอมพิวเตอร์ คุณต้องเลือกมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่สอบ หากคุณทำข้อสอบแบบกระดาษ คุณต้องเลือกโรงเรียนเป็นสถานที่สอบ คุณสามารถเลือกสถานที่สอบได้สูงสุด 5 แห่ง และระบบจะเลือกแบบสุ่มหนึ่งแห่ง คุณสามารถเลือกทำการทดสอบบนคอมพิวเตอร์หรือแบบกระดาษได้
คุณสามารถตรวจสอบสถานที่สอบ TGAT ของคุณได้ที่เว็บไซต์ MyTCAS ก่อนเข้าสอบและอย่าลืมพิมพ์บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันตัวตนก่อนเข้าสอบ หากไม่มีบัตรนี้คุณอาจจะไม่สามารถเข้าห้องสอบได้
ทุกคนจำเป็นต้องสอบ TGAT ไหม?
หากคุณต้องการเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบ TCAS คุณควรสมัครสอบ TGAT และ TPAT เนื่องจากจะใช้คะแนน TGAT และ TPAT เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกนักศึกษาและส่งเข้าระบบ TCAS สูงสุด 3 รอบ ส่วนวิชาที่ต้องใช้คะแนนนั้นขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย
TGAT ใช้ยื่นอะไร?
คะแนน TGAT สามารถนำมาใช้สมัคร TCAS ได้ 3 รอบ: รอบการสมัคร รอบคัดเลือก และรอบการรับเข้าเรียน

>>> Read more: 17 แอปพลิเคชั่นแปลภาษาอังกฤษยอดนิยมและใช้งานง่ายที่สุดในปัจจุบัน
TGAT TPAT A-Level คือ?
A-Level เป็นหลักสูตรการศึกษาระดับสูงที่จัดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และใช้เป็นมาตรฐานในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนานาชาติหรือมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยทั่วไป นักเรียนจะจบหลักสูตร A-Level หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือปีที่ 6 (เท่ากับปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเวียดนาม) A-Levels มุ่งเน้นในวิชาเฉพาะทางและมักใช้เวลาเรียน 2 ปี
ในประเทศไทย A-Level จัดขึ้นเป็นหลักสูตรการศึกษาของ Cambridge International Examinations (CIE) หรือองค์กรที่คล้ายคลึง เพื่อช่วยให้นักเรียนเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา เป็นต้น
TGAT และ TPAT A-Level:
นักเรียนที่ต้องการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทยอาจต้องสอบ TGAT และ TPAT แต่การสอบเหล่านี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร A-Level อย่างไรก็ตามการสอบเหล่านี้อาจถือเป็นปัจจัยเพิ่มเติมในกระบวนการรับเข้ามหาวิทยาลัยของไทยได้
- TGAT (Test of General Aptitude for Thai Universities): เป็นการสอบที่ทดสอบความสามารถในการคิดทั่วไป และทักษะพื้นฐาน เช่น การแก้ปัญหา การคิดเชิงตรรกะ และการวิเคราะห์ คล้ายคลึงกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งในประเทศไทย โรงเรียนบางแห่งอาจกำหนดให้ต้องมีคะแนน TGAT เพื่อประเมินความสามารถของผู้สมัคร นอกเหนือจากผลสอบ A-Level
- TPAT (Thai University Admission Test): TPAT เป็นการสอบที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทยกำหนดให้ผู้สมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรเฉพาะทาง (เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี) ต้องสอบ โดยเฉพาะหลักสูตรที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางสูง การสอบนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับเข้าเรียน นอกเหนือจากผลการสอบ A-Level
หวังว่าบทความข้างต้นของ ELSA Speak จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าข้อสอบ TGAT คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มีคำถามกี่ข้อในแต่ละหัวข้อ และคำตอบเพื่อวางแผนการทบทวนและพิชิตการสอบ TGAT ที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยแพ็คเกจ ELSA Premium ของ ELSA Speak คุณไม่เพียงแต่ได้สัมผัสกับฟีเจอร์ขั้นสูงเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของคุณเท่านั้น แต่ยังคงราคาไว้เท่าเดิมอีกด้วย ซึ่งมอบคุณค่าที่โดดเด่นให้กับผู้ใช้ อย่าพลาดโอกาสอัปเกรดทักษะภาษาต่างประเทศของคุณวันนี้!